คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 221 ที่มา
หมิงเวยพุ่งสมาธิไปที่จุดเดียว คนที่ลอบทำร้ายนาง คือหนิงซิว
เดิมทีนางไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายเข้ามาอย่างตรงไปตรงมาจนนางไม่ทันได้ตั้งตัว คลื่นเสียงของเขารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางยิ่งต่อกรกับเขาได้ยากขึ้น
ในตอนนั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งบินโฉบลงมาพร้อมแสงวิบวับจากกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามา คลื่นเสียงของหนิงซิวปะทะกับไอกระบี่เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นทุกอย่างก็สงบลง
เขาเลิกคิ้วแล้วมองหยางชูที่หันหลังกลับมา “เจ้าลงมือทำไม”
“ต้องเป็นข้ามากกว่าที่ต้องถามคำถามนี้” หยางชูดูหัวเสียมาก “เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว นางเป็นสหายของข้า ท่านลอบทำร้ายนางหมายความว่าอย่างไร”
หนิงซิวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตัวตนของนางน่าสงสัยมีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายท่าน ข้าไม่ไว้วางใจ”
หยางชูพูดเสียงเย็น “น่าสงสัยหรือไม่ ข้าตัดสินเอง ไม่ต้องการให้ท่านมายุ่งด้วย”
หนิงซิวหรี่ตามอง “ศิษย์น้อง…”
“พอแล้ว!” หยางชูตะโกน “หลายปีมานี้ไม่มีพวกท่าน ข้ามีชีวิตที่ดี มีชีวิตที่สงบสุขมาจนถึงวันนี้ ท่านคิดว่าข้าต้องการความปรารถนาดีจากท่านงั้นหรือ”
“ข้าคิดว่าต้องการ”
หยางชูแค่นหัวเราะ คำพูดที่เขาเอ่ยออกมานั้นเฉียบคมยิ่งกว่า “ในตอนที่ท่านปู่ท่านย่าจากโลกนี้ไป ข้าอยู่ตัวคนเดียวถูกผู้อื่นด่าว่าเป็นไอ้ลูกนอกสมรส พวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน ในตอนนั้นหากพวกท่านจำข้าได้ มาหาข้า บางทีข้าอาจไม่ต้องเดินบนเส้นทางนี้
ท่านคิดว่าข้าอยากทำงานในหน่วยสืบราชการลับหรือ วันๆ ต้องเล่นกับจิตใจผู้อื่น ตอนนี้ข้าปรับตัวกับชีวิตนี้ได้แล้วพอสักทีกับความปรารถนาดีของท่าน! ในสายตาข้านางน่าเชื่อถือกว่าท่านอีก!”
หนิงซิวเงียบ หยางชูในตอนนี้เหมือนเม่นที่มีหนามลุกชันทั้งตัว แววตาดุร้ายเล็กน้อย ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันอีก
หมิงเวยมองคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วถามออกไปว่า “สรุปแล้ว พวกท่านเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันหรือเจ้าคะ”
“ใช่”
“ไม่ใช่!” ทั้งสองคนตอบในเวลาเดียวกัน แต่คำตอบที่เอ่ยออกมากลับตรงข้ามกัน
หมิงเวยเลิกคิ้วแล้วถามหยางชู “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ไหว้วานให้ท่านตรวจสอบตัวตนของเขาหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขาด้วย”
“เดิมทีข้าไม่รู้จักเขา!” หยางชูพูดด้วยความหงุดหงิด “จู่ๆ เขาก็วิ่งมาบอกกับข้าว่าเขาเป็นศิษย์ของนักพรตเฒ่าผู้นั้นต้องการมาดูแลข้า”
“ก่อนหน้านี้ท่านไม่รู้จักเขา แต่ต่อมาท่านรู้จักเขาแล้วไม่ใช่หรือ ท่านยังไม่คิดบอกกับข้าเลย”
“นั่นเป็นเพราะ…” ไม่อยากพูดถึงเขา!
หนิงซิวฟังพวกเขาคุยกันก็ขมวดคิ้วเขาถามออกไปว่า “แม่นาง ท่านเป็นใครกันแน่”
หมิงเวยหันกลับมายิ้มให้เขาแล้วทำความเคารพ “อาจารย์หนิง ท่านมองออกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
หนิงซิวพูด “หากท่านเป็นแค่สตรีในห้องหอคนหนึ่ง ท่านไม่ควรมีทักษะเช่นนี้ ถึงแม้ร่างกายอ่อนแอ แต่เพลงขลุ่ยของท่าน หากไม่ได้มีทักษะถึงยี่สิบปีไม่มีทางทำได้ แต่ท่านอายุยี่สิบหรือ”
“…..”
หนิงซิวพูดต่อว่า “แล้วอีกอย่างวรยุทธ์ของท่านยอดเยี่ยมไม่ต่างกับข้า พวกเราน่าจะมาจากที่เดียวกัน แต่ข้าจำได้ว่าตนเองไม่มีศิษย์น้องที่เป็นหญิง”
“….”
“ท่านเป็นใครกันแน่” คำถามเหล่านี้หมิงเวยไม่สามารถตอบได้จึงหันไปหาหยางชู
หยางชูแค่นหัวเราะ “นางเป็นคนของข้า! ท่านพอใจหรือยัง ท่านไม่ได้รับปากข้าว่าจะช่วยสืบเรื่องท่านพ่อให้หรอกหรือ รีบไปสืบสิ! ท่านจะมาจับนางไว้ทำไม”
หนิงซิวยังคงนิ่งไม่ไหวติง “ศิษย์น้องวันนี้ข้าต้องรู้เรื่องให้ได้ ต่อให้ท่านไล่ข้า ข้าก็ไม่ไป”
หยางชูโกรธมาก “ท่านไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
หนิงซิวตอบกลับอย่างเฉยเมย “มีแต่เหตุผลที่ข้ายอมรับเท่านั้นถึงเป็นเหตุผลที่แท้จริง”
“….”
สายตาของหนิงซิวเบนกลับไปที่หมิงเวยอีกครั้ง “หากเรายังอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อที่นี่เป็นอาณาเขตของศิษย์น้อง เรามานั่งพูดคุยกันไม่ดีกว่าหรือ”
หยางชูพูดด้วยความโกรธ “ทำไมข้าต้องพูดกับท่านด้วย”
“ไม่เช่นนั้นข้าคงใช้เวลาอยู่กับพวกท่านทั้งคืน” หนิงซิวพูดอย่างจริงจัง “หากเป็นเช่นนี้แล้วถูกคนพบเห็นเข้าเกรงว่าท่านคงมีปัญหา”
หยางชูไม่รู้จะพูดอะไรดีตอนนี้เขามารู้สึกเสียใจทีหลังว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงทำสีหน้าดีๆ กับเขา ต้องไล่เขาออกจากเมืองหลวงต่างหากถึงจะถูก!
หมิงเวยกลับยิ้มแล้วบอกว่า “อาจารย์อยากสนทนาด้วยจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ” พูดจบนางก็กระตุกแขนเสื้อของหยางชูและกระซิบ “พี่ชายข้ายังอยู่ด้านล่าง ท่านคงไม่อยากให้เขาเห็นเรื่องตลกใช่หรือไม่”
หยางชูกัดฟันแน่น “ได้!”
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ พวกเขาได้เข้าไปในจวนหลังหนึ่ง และไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทำทีเหมือนมาสนทนายามค่ำคืนกัน
“แม่นาง” หนิงซิวเปิดประเด็น “ท่านบอกได้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร วรยุทธ์ของท่านดูเหมือนจะได้รับการสืบทอดมาจากที่เดียวกันกับข้า แต่ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่ามีคนเก่งอันดับหนึ่งเช่นท่านด้วย”
หมิงเวยวางมือบนถ้วยน้ำชาแล้วขยับเบาๆ ใบหน้าของนางเปื้อนยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นอาจารย์หนิงเป็นใครงั้นหรือ พูดตามตรงในงานเทศกาลซีซี ข้าสังเกตได้ว่าเสียงกู่ฉินของท่านคล้ายกับของข้าที่มาของอาจารย์ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันเจ้าค่ะ”
หนิงซิวมองนาง “ถ้าข้าบอกที่มาของข้าท่านจะบอกข้าอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่”
หมิงเวยตอบอย่างไม่ลังเล “หากท่านพูดความจริง ข้าก็พูดความจริงเจ้าค่ะ”
“ได้” หนิงซิวตอบ “ตัวข้าไร้ชื่อเสียง ท่านอาจารย์มีสมญานามหนานเคอ ตลอดปีมานี้ข้าพเนจรไปทุกหนแห่งเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว…”
“หนานเคองั้นหรือ” หมิงเวยกำลังนึกนามนี้ในความทรงจำ แต่ก็พบว่าตนเองจำนามนี้ไม่ได้เลยหรือว่าท่านนักพรตนามหนานเคอผู้นี้ไม่ใช่ยอดฝีมือกัน ไม่สิ ดูจากทักษะของหนิงซิวแล้ว อาจารย์ของเขาจะต้องเป็นผู้มีฝีมือแน่
“อาจารย์ ท่านกำลังซ่อนอะไรอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ”
สีหน้าของหนิงซิวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่มี ท่านอาจารย์มีนามหนานเคอจริงๆ แต่ท่านไม่ค่อยแสดงฝีมือให้ผู้ใดเห็น ผู้อื่นที่พบท่านส่วนใหญ่จะจำท่านไม่ค่อยได้”
เป็นยอดฝีมือนิรนามงั้นหรือ หมิงเวยส่ายหน้าเรื่องนี้นางไม่สามารถละเว้นได้ ยอดฝีมือบางคนมีนิสัยประหลาด ชื่อแซ่ของพวกเขาไม่ถูกบอกเล่าต่อกันมา
นางครุ่นคิดแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางหยางชู “ท่านไม่ได้บอกว่าเขาเป็นศิษย์น้องหรอกหรือ เหตุใดถึงบอกว่าตนเองเป็นผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวเล่าเจ้าคะ”
หนิงซิวตอบกลับไปว่า “กฎของสำนักเราเป็นเช่นนี้แม้รับศิษย์มามากมาย แต่คนที่ได้รับถ่ายทอดวิชานั้นมีแค่คนเดียว ข้ากับศิษย์น้องเป็นศิษย์ท่านอาจารย์เหมือนกัน แต่มีเพียงลูกศิษย์ของข้าเท่านั้นที่จะได้รับสืบทอดต่อถึงศิษย์น้องรับลูกศิษย์เข้ามาแต่เขาจะไม่ถูกนับอยู่ในกลุ่มผู้สืบทอด”
หมิงเวยชะงัก “กฎนี้มาจากไหนกันหรือเจ้าคะ”
“ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่อาจารย์ท่านใดเป็นคนตั้งไม่มีผู้ใดทราบได้”
หมิงเวยมองเขาแววตาของนางเปลี่ยนไป
หยางชูรู้สึกว่านางผิดปกติจึงถาม “เป็นอะไรหรือ”
หมิงเวยส่ายหน้า แต่ในใจราวกับมีคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
กฎนี้เป็นกฎของปรมาจารย์แห่งชีวิต!
เช่น ท่านอาจารย์ของนางมีลูกศิษย์สองคนคือนางกับศิษย์น้อง เมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายทอดความรู้ ท่านอาจารย์ต้องเลือกศิษย์หนึ่งคนเพื่อส่งต่อป้ายคุ้มกันให้ มีเพียงคนที่ได้ครอบครองป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิตเท่านั้นที่นับเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิต ส่วนศิษย์น้องแยกตัวออกไปตั้งสำนักอื่น
อาจารย์ของหนิงซิวมีที่มาอย่างไรกันแน่ เหตุใดกฎถึงได้เหมือนกฎของปรมาจารย์แห่งชีวิตได้ แต่นางไม่เคยได้ยินชื่อนักพรตนามหนานเคอมาก่อนเลยจริงๆ หากเขามีต้นกำเนิดเดียวกับปรมาจารย์แห่งชีวิตนางจะไม่รู้ได้อย่างไร
“แม่นาง ถึงตาท่านแล้ว” หนิงซิวมองนาง “ตัวตนของท่าน เหตุใดวิชาที่ท่านได้รับสืบทอดถึงได้เหมือนกันกับข้า”
…………