คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 237 กำลังอาวุธ
ศิษย์จากเสวียนตูกวันทั้งสี่ผ่านด่านนี้ไปอย่างง่ายดาย
สำหรับพวกเขาแล้วความยากของด่านทั้งห้าไม่ได้อยู่ที่การผ่านด่านทดสอบ แต่อยู่ที่ว่าผ่านด่านทดสอบได้อย่างสวยงามได้อย่างไร
เมื่อมาถึงประตูที่สามเหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสิบคน
มีศิษย์ทั้งสี่จากเสวียนตูกวัน หมิงเวย จี้เสียวอู่ หยางชูและอีกสามคน จากสิบคนที่ต้องการโดดเด่นต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ตอนนี้เหลือเพียงสามคน
ในด่านที่สามผู้เฝ้าประตูเป็นนักพรตหญิง
มีพู่กันและกระดาษกองหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านาง เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามานางก็พูดขึ้นว่า “ด่านของข้ามีเพียงคำถามเดียว หากตอบถูกก็ผ่านไปได้”
บางคนที่ผ่านสองด่านที่แสนยากลำบากมาได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศิษย์ในเสวียนตูกวันแต่ละคนพลังฝีมือไม่ธรรมดาหากต้องเจออีกรอบพวกเขาคงยอมรับความพ่ายแพ้ออกไปตรงๆ
“เชิญท่านนักพรตถามมาได้”
นักพรตหญิงเอ่ย “หลี่เจินจี๋ ผู้บำเพ็ญพรตประพฤติรักษาพรหมจรรย์เป็นเสวียนชื่อในตำนานเมื่อสามร้อยปีก่อน ตลอดชีวิตของเขาได้เดินทางไปทั่วทุกที่ ขอถามว่าปีที่สี่แห่งรัชศกโฉ่วเต๋อ เขาอยู่ที่ใด”
หลังจากถามเสร็จนางก็ชี้ไปที่พู่กันและกระดาษตรงหน้า “หากได้คำตอบแล้วให้เขียนลงบนกระดาษแผ่นนี้ หลังจากที่ทุกคนตอบคำถามเสร็จ ข้าจะประกาศผล”
เมื่อคำถามนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมามีหลายคนดูงุนงง
ผู้บำเพ็ญพรตประพฤติรักษาพรหมจรรย์ พวกเขาส่วนใหญ่เคยได้ยินมาก่อน แต่ตามที่นักพรตหญิงเล่ามาเขาเดินทางมาตลอดชีวิตและไม่เคยอยู่ที่เดียวนานเกินไป นอกจากเหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ช่วงเวลาอื่นผู้ใดจะรู้ได้เล่าว่าเขาอยู่ที่ใด
หรือบางทีหนังสือบางเล่มมีบันทึกเอาไว้หรือ ถ้าเช่นนั้นจุดประสงค์ของคำถามนี้คงเป็นจำนวนการอ่านหรือไม่ แม้ว่ามันจะง่ายกว่าสองคำถามก่อนหน้านี้ แต่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้
บุรุษสองนายที่ใช้วรยุทธ์ต่อสู้ในสองด่านแรก เมื่อมาถึงด่านนี้พวกเขาไม่สามารถแสดงฝีมือได้ดูจากการแต่งกายของนักพรตหญิงแล้วน่าจะเป็นศิษย์พี่อาวุโสของเสวียนตูกวัน พอมาคิดดูแล้วขนาดลูกศิษย์ในด่านที่สองยังไม่อาจสู้ได้เลย นับประสาอะไรกับผู้ที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่พวกเขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจยาวๆ และยอมแพ้ไป
“คำถามนี้ไม่สามารถตอบได้ คงต้องขอถอนตัว”
“ข้าก็ด้วย”
นักพรตหญิงยิ้มแล้วพยักหน้า “ทั้งสองท่านฝีมือไม่ธรรมดา มาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เชิญ”
ยังมีนักกวีอีกผู้หนึ่ง เขาคิดว่าจะต้องมีปริศนาในคำถามนี้เป็นแน่ แต่เมื่อคิดอย่างหนักก็คิดไม่ออกจึงยอมแพ้ไป
“พี่ห้า” หมิงเวยเรียกเขา แต่ก็ถูกจี้เสียวอู่พูดตัดบทไป
“เดี๋ยว คำถามนี้ข้าคิดว่าข้าตอบได้”
หมิงเวยชะงักแล้วก็ยิ้มออกมา “ได้ ในเมื่อพี่ห้าสามารถตอบได้งั้นข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความ”
จี้เสียวอู่ไม่ชอบอ่านคัมภีร์ตั้งแต่ยังเด็ก แต่กลับอ่านนิทานหรือหนังสืออ่านเล่นมาไม่น้อยโดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับเทพเจ้า และหนังสือที่บันทึกเรื่องราวการเดินทาง เขามีความจำที่ดีเยี่ยมสามารถสรุปจากเรื่องหนึ่งก็สามารถอนุมานไปถึงเรื่องอื่นๆ ได้ ถือว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับการอ่านด้วยเหตุนี้ทุกคนในตระกูลจี้จึงเข้มงวดกับเขามากเพื่อหวังจะให้เขาดีขึ้น
“ปีที่สี่แห่งรัชศกโฉ่วเต๋อเป็นช่วงเวลาของเหยียนเฉาไท่จง….ผู้บำเพ็ญพรตเกิดในปีที่เจ็ดที่หวงหลง…”
จี้เสียวอู่พึมพำกับตนเองแล้วแววตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ และเขียนคำตอบลงบนกระดาษ เมื่อเขียนชื่อเสร็จก็ส่งให้แก่นักพรตหญิง
นักพรตหญิงรับมาด้วยรอยยิ้มแล้วนำไปวางไว้เฉยๆ
คนอื่นๆ ก็เดินไปข้างหน้าและเขียนคำตอบส่งให้นักพรตหญิงทีละคน
ท้ายที่สุดก็เหลือหยางชูเพียงคนเดียว
ตอนที่คนอื่นกำลังเขียนคำตอบเขาก็ยืนเฉยอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเขาไม่สนใจซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่คิดที่จะไปเขียนคำตอบแต่อย่างใด
นักพรตหญิงมองมาที่เขา “คุณชาย เหลือท่านแล้ว”
หยางชูตอบไปว่า “ข้าไม่รู้”
นักพรตหญิงเลิกคิ้ว “ท่านจะยอมแพ้หรือ”
หยางชูยิ้ม “สู้แทนไม่ได้หรือ”
นักพรตหญิงรู้สึกประหลาดใจและถามไปอีกคำถามหนึ่ง “คุณชายต้องการใช้กำลังบังคับให้ผ่านด่านไปงั้นหรือ”
“ใช่ ข้าถูกบังคับให้อ่านหนังสือสองสามเล่ม แต่เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเทพเจ้าข้าเคยได้ยินแต่ไม่เข้าหู ผู้บำเพ็ญพรตท่านนั้นข้าไม่รู้ปีเกิดเวลาตายของเขาเลยด้วยซ้ำจะไปรู้ได้อย่างไรว่าปีที่สี่แห่งรัชศกโฉ่วเต๋อเขาไปอยู่ที่ใด!”
รอยยิ้มของนักพรตหญิงหายไป “ย่อมได้ ในเมื่อคุณชายเลือกทางนี้ ถ้าอย่างนั้นโปรดรอสักครู่”
นางหยิบคำตอบที่เหลืออีกเจ็ดแผ่นออกมาอ่านทีละใบ “เป่ยหมาง”
ใบที่สอง “หยุนจิง”
ใบที่สาม “เป่ยหมาง”
อีกสี่ใบที่เหลือคำตอบล้วนเป็นเป่ยหมาง
นักกวีผู้นั้นหน้าซีดใบที่เขียนว่าหยุนจิงนั้นเป็นคำตอบของเขาเอง
นักพรตหญิงนำกระดาษส่งคืนให้แก่เขา “คุณชายจาง เหตุใดถึงตอบหยุนจิงหรือ”
นักกวีผู้นั้นรับคำตอบของตนเองแล้วตอบเสียงแผ่วเบา “ในรัชสมัยของไท่จู่ในราชวงศ์ก่อน นักกวีนามหยวนฉีเขียนกวีบทหนึ่ง ส่งตราวิญญาณแห่งหยุนจิง กวีบทนี้เขียนในปีที่สิบเจ็ดที่เมืองไคผิงซึ่งห่างจากปีที่สี่ของรัชศกโฉ่วเต๋อห้าปีดังนั้น…”
นักพรตหญิงพยักหน้า “มีเหตุผล ในระยะเวลาห้าปีนี้ผู้บำเพ็ญพรตจะเดินทางจากหลิ่งหนานไปหยุนจิงในเวลาปีสองปีไม่ใช่เรื่องแปลก ช่วงเวลาใกล้เคียงกับปีที่สี่แห่งรัชศกโฉ่วเต๋อ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะอยู่ที่หยุนจิง”
“แต่คำตอบของข้าผิดใช่หรือไม่”
นักพรตหญิงยิ้มแล้วเก็บกระดาษแผ่นแรก “คุณชายจี้”
จี้เสียวอู่รับคำ “ขอรับ”
“เหตุใดท่านถึงตอบเป่ยหมาง”
จี้เสียวอู่ตอบว่า “ข้อแรก ดั่งที่คุณชายจางกล่าวไว้ ปีที่สิบเจ็ดในรัชศกไคผิงสามารถระบุได้ชัดเจนว่าผู้บำเพ็ญพรตอยู่ที่หลิ่งหนาน และต้องการเดินทางไปหยุนจิง แต่หลังจากนั้นข้าไม่เคยอ่านบันทึกที่เกี่ยวข้อง แต่ในปีที่สามแห่งรัชศกโฉ่วเต๋อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายครั้งใหญ่ที่เป่ยหมาง หยุนจิงอยู่ไม่ไกลจากเป่ยหมาง แม้ว่าผู้บำเพ็ญพรตจะออกจากหยุนจิงในตอนนั้น แต่เขาต้องอยู่ที่ตอนเหนือแน่นอน ดูจากบุคลิกของเขาแล้วเขาจะต้องให้ความช่วยเหลือดังนั้นข้าจึงเดาว่าเขาต้องอยู่ที่เป่ยหมางขอรับ”
นางยิ้มแล้วพยักหน้าให้จี้เสียวอู่ “ยินดีด้วยคุณชาย”
ในด่านนี้ คำตอบทั้งเจ็ดคนมีหกคนที่ตอบถูก
คุณชายจางผู้นั้นถอนหายใจและกล่าวอำลาทุกคน “ไม่คาดคิดว่าข้าผ่านมาได้ตั้งสองด่าน แต่มาตกม้าตายในด่านนี้เป็นเพราะข้าศึกษาไม่มากพอ ทักษะจึงสู้ผู้อื่นไม่ได้ ขอให้ทุกท่านไปถึงด่านสุดท้ายได้อย่างราบรื่น ข้าขอตัวลา”
แน่นอนว่าหมิงเวยต้องตอบถูกอยู่แล้ว นอกจากเหตุผลที่นักพรตหญิงกล่าวมา นางยังรู้อีกเล็กน้อยว่าความโกลาหลครั้งใหญ่ในเป่ยหมางเป็นสถานที่สังเวยวิญญาณของปรมาจารย์แห่งชีวิตรุ่นแรก ดังนั้นนางจึงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าผู้บำเพ็ญพรตเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย
นักพรตหญิงยิ้มให้คุณชายหยาง “คุณชาย เหลือท่านแล้ว”
คุณชายยิ้มแล้วมองไปที่ทางเดินบนเขา
อาสวนวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาทางนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงได้ เขายื่นร่มหนังฉลามให้หยางชู “คุณชายขอรับ”
หยางชูรับมันมาโดยไม่พูดอะไรเขาลุกขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งไปที่ประตู
นักพรตหญิงกระโดดขึ้นพร้อมกับสะบัดแส้ขนหางจามรีใส่หยางชู
หยางชูไม่ได้หันหลังกลับ เขาสะบัดแขนจากนั้นร่มหนังฉลามก็กางออกและหมุนตัวออกไป
นักพรตหญิงกระโดดตัวให้ลอยสูงขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อได้ยินเสียงนั้นหยางชูก็ชักกระบี่ออกมาจากด้ามร่ม
ไอกระบี่ดุจมังกรพุ่งออกมาจากหลังร่มในมุมที่ตั้งรับได้ยากเป็นอย่างมาก
ทุกคนเห็นเงาร่างสองร่างเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร
………………