คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 247 แผนการ
บรรยากาศแห่งความวิตกกังวลอบอวลอยู่ภายในเสวียนตูกวัน
ไม่มีใครมีอารมณ์อยากออกไปเดินเล่น โชคดีที่ประชาชนด้านนอกอยู่ห่างไกลออกไปจึงไม่มีใครได้ยินคำว่าดาวมาร พอได้ยินว่าผลการแข่งจะประกาศตอนค่ำทุกคนจึงออกไปเดินเล่นกัน
อวี้หยางกลับห้องโดยมีศิษย์น้องของเขาตามมาด้วยความกังวล “ศิษย์พี่ใหญ่…”
อวี้หยางโบกมืออย่างใจเย็น “เมื่อครู่เจ้าได้รับผลสะท้อน ไปรักษาตัวก่อนเถอะ”
“ข้าไม่เป็นไร” ศิษย์น้องคนนั้นส่ายหน้า เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ท่านมองเห็นดาวมารจริงหรือ” อวี้หยางก้มหน้าไม่พูดอะไร
ศิษย์น้องเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็รู้คำตอบ เขาพูดด้วยความกระวนกระวายใจ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ การแข่งขันในวันนี้…”
เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์น้องที่สนิทด้วยที่สุดอวี้หยางก็ถอนหายใจแล้วระบายความในใจออกไป “สี่ด่านก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย แต่ด่านสุดท้าย…เจ้าเสวียนเฟยนั่น ในเรื่องการคาดเดาใจคนอย่างไรมันก็เก่งกว่าข้า!”
“ศิษย์พี่ใหญ่!” ศิษย์น้องถามด้วยความตกใจ “หรือว่า…”
อวี้หยางพูด “เหล่าผู้อาวุโสตั้งใจใช้ประโยชน์จากค่ายกลดูดาวในครั้งนี้ แต่บททดสอบข้าพ่ายแพ้จริงๆ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งเจ้าสำนักตกไปอยู่ที่เสวียนเฟยแน่”
ศิษย์น้องไม่พอใจ “เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่มองเห็นดาวมารได้ก่อน เหตุใดความดีความชอบถึงตกไปอยู่ที่เขากัน”
อวี้หยางเลิกคิ้วเขารู้สึกไม่ยุติธรรมมาก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกัน ทักษะผิวเผินของเจ้าเด็กนั่นงดงามมากอีกฝ่ายสังเกตดวงดาวได้นานกว่าตน ผลสะท้อนที่ได้รับก็น้อยกว่าตน อีกทั้งการตอบคำถามต่อหน้าพระพักตร์ก็ดูเหมาะสมกว่าตน ผลลัพธ์การสังเกตการณ์ของทั้งสองเหมือนกัน ผู้ชนะจึงเป็นเสวียนเฟย
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าการที่ตนเองกังวลกับการเตรียมตัวมานานขนาดนี้แต่สุดท้ายยังคงแพ้อีกฝ่าย ตอนนี้นอกเสียจากจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเท่านั้นถึงจะสามารถเตะเสวียนเฟยออกไปได้…
อวี้หยางครุ่นคิดแต่ก็ไม่สามารถคิดหาวิธีได้ หรือว่าเขาจะต้องมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เสวียนเฟยจริงๆ
เขานั่งอย่างเบื่อหน่ายอยู่นานก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกว่า “นักพรตอวี้หยาง เจ้านายของข้าน้อยส่งข้อความมาถึงท่านขอรับ”
อวี้หยางดึงสติกลับมา “เข้ามาได้”
บ่าวรับใช้ท่าทางอ่อนน้อมผลักประตูเข้ามา อวี้หยางจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของคุณชายเหวิน
เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย คุณชายเหวินเป็นตัวแทนของไท่จื่อ หมายความว่าไท่จื่อมีเรื่องจะคุยกับเขาใช่หรือไม่
แน่นอนว่าบ่าวรับใช้กวาดตามองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าในห้องนี้ไม่มีใครอื่นจึงกระซิบบอกว่า “ไท่จื่อต้องการพบท่านนักพรตขอรับ”
“ตอนนี้งั้นหรือ” บ่าวรับใช้พยักหน้า
อวี้หยางไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ การแข่งขันได้จบลงไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ไม่แน่ว่าไท่จื่ออาจมองเห็นถึงความจริงใจแล้วมอบโอกาสให้เขาก็เป็นได้
ทั้งสองเดินไปตามถนนที่เงียบสงบและหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงเรือนแห่งหนึ่ง องครักษ์ที่เฝ้านอกประตูเข้าไปรายงาน แล้วอวี้หยางก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน
เขาก้าวเข้าไปในห้องก็พบว่าด้านในมีเพียงสองคน
คนหนึ่งคือไท่จื่อเจียงเชิ่ง อีกคนคือเหวินยวน ส่วนคนรับใช้คนอื่นๆ ถูกไล่ออกไปจนหมด
อวี้หยางคำนับ “คารวะไท่จื่อ”
เจียงเชิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าสังเกตเห็นดาวมาร เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
อวี้หยางในตอนนี้ไม่สามารถเก็บงำอะไรได้อีก ไท่จื่อเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา เขาจึงรายงานผลการสังเกตการณ์ของตน เสวียนเฟยและหมิงเวยให้อีกฝ่ายฟังอีกรอบ
เจียงเชิ่งครุ่นคิดอยู่นานแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าเป็นดาวมารจริงๆ ”
“กระหม่อมแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ”
“ดาวมารดวงนี้ส่งผลต่อโชคชะตาของแผ่นดินหรือไม่”
อวี้หยางตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่เพียงแค่นั้น ถึงในตอนนี้ดาวยังดับแสง แต่เมื่อถึงเวลาที่ส่องสว่างเจิดจ้าเมื่อไร ส่งผลให้แผ่นดินต้องล่มสลายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเชิ่งเอามือไขว้หลัง เขาเดินไปเดินมาภายในห้องอยู่นานโดยไม่พูดอะไร
อวี้หยางอดทนรออยู่นานในที่สุดเขาก็เอ่ยปากถาม “ไท่จื่อ…”
เจียงเชิ่งพูดตัดบทเขา “ดาวมารสามารถอ้างถึงบุคคลได้หรือไม่”
อวี้หยางตกใจเขาตั้งสติแล้วตอบกลับไปว่า “หากเป็นท่านอาจารย์อาจจะสามารถระบุตัวตนได้ แต่ทักษะการพยากรณ์ดวงดาวของกระหม่อมยังห่างชั้น…”
“หากเจ้ายืนยันว่าดาวมารเป็นบุคคลหนึ่งจะมีคนคัดค้านเจ้าหรือไม่”
อวี้หยางตอบ “ทักษะการพยากรณ์ดวงดาวเป็นสิ่งที่ต่างคนต่างบอกว่าตัวเองถูก ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ที่สอดคล้องกันเกิดขึ้นไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมาแสดงได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!” เจียงเชิ่งรอคำพูดนี้จากเขาอยู่แล้วหันกลับมา
อวี้หยางใจเต้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรต่อไป ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ แต่เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ อย่างไรก็ตามตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาก็ได้หลุดลอยไปแล้ว
“เจ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเจ้ามีเครือข่ายในสำนักดีมาก ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าทำเรื่องบางอย่าง ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรขอเพียงเจ้าทำเพื่อข้า ตำแหน่งเจ้าสำนักข้าจะต่อสู้แทนเจ้าเอง!”
………….
ทางด้านหมิงเวยเมื่อออกจากโถงใหญ่ เมื่อเดินเลี้ยวไปสองเลี้ยวก็ร้องเรียกคนที่เดินอยู่ด้านหน้า “เดี๋ยว!” สองคนนั้นเดินเร็วขึ้น
“ท่านนักพรตเสวียนเฟย!”
ผู้ที่ถูกเรียกชื่อไม่อยากสนใจนาง แต่พอนึกถึงผลที่ตามมาหากมีคนเห็นเข้าจึงกลืนคำพูดของตนเองลงไป
หมิงเวยเดินเข้ามาหาแล้วยิ้ม “ท่านนักพรต ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
จวินโม่หลีตอบอย่างเย็นชา “พวกเราไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน”
หมิงเวยชำเลืองมองแล้วหุบยิ้ม “ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน”
“นี่!” คนอะไร! ปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันเกินไปแล้ว! หมิงเวยไม่สนใจแล้วหันไปมองเสวียนเฟย
เสวียนเฟยมองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบเสียงเบา “ตามข้ามา”
“ศิษย์พี่!” จวินโม่หลีไม่อยากจะเชื่อ เสวียนเฟยไม่พูดไม่จาอะไรแล้วเดินนำไปยังช่องทางเดินที่มีตำหนักสองข้างขนาบอยู่
จี้เสียวอู่สะกิดหมิงเวย “เจ้าคิดจะทำอะไร พวกเขาสองคนเก่งมาก หากต้องลงมือพวกเราสู้ไม่ได้หรอกนะ”
“วางใจเถอะ” หมิงเวยยิ้ม “ไม่ต้องสู้พวกเราก็ชนะได้”
ทั้งสี่คนมาถึงสถานที่เงียบสงบ หมิงเวยก็ถามจี้เสียวอู่ “พี่ห้า รบกวนท่านช่วยไปเดินรับลมได้หรือไม่”
จี้เสียวอู่เหลือบมองนางเวลามีเรื่องก็เรียกเขา ตอนไม่มีเรื่องก็ไล่เขาออกไป คนผู้นี้ช่างหัวสูงจริง! ใจคิดเช่นนั้นแต่เขาก็เดินออกไปอย่างเชื่อฟัง
หมิงเวยมองจวินโม่หลี “ท่านนักพรต”
จวินโม่หลีแค่นหัวเราะแล้วไม่สนใจนาง หมิงเวยจึงต้องมองเสวียนเฟย
เสวียนเฟยถอนหายใจเงียบๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าต้องการพูดคุยกับนางตามลำพัง”
เมื่อศิษย์พี่ของตนไม่สนับสนุนตนจวินโม่หลีก็ไม่พอใจ “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านต้องเชื่อฟังนางด้วย”
เสวียนเฟยพูดอย่างอดทน “ถูกผู้อื่นพบเห็นเข้าจะดูไม่ดี”
“อะไรไม่ดี”
หมิงเวยยิ้ม “ศิษย์พี่ของท่านจะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก เป็นราชครูในอนาคต ถูกผู้อื่นพบเห็นระหว่างพูดคุยกันเป็นส่วนตัว ท่านคิดว่าเป็นเรื่องดีงั้นหรือ”
จวินโม่หลีตาค้างจนพูดไม่ออก “นัดพบส่วนตัวอะไร พวกท่านไปนัดพบลับหลังข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เสวียนเฟยลูบหน้าผากศิษย์น้องของเขาฉลาดในเรื่องเคล็ดวิชา ทำไมเวลาปกติถึงได้เป็นคนหัวดื้อ คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกหรอกหรือ
“ไม่มีอะไร กลับไปเราค่อยคุยกันตอนนี้ช่วยศิษย์พี่ไปเดินรับลมก่อนได้หรือไม่”
จวินโม่หลีมองเขาแล้วหันไปมองหมิงเวย เขาพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เร็วด้วยล่ะ!”
รอให้คนนอกออกไปจนหมด หมิงเวยก็พูดเปิดประเด็น “เรื่องดาวตี้ชิงไม่สามารถให้พวกเขารู้ได้ ท่านมีวิธีปิดบังเรื่องนี้หรือไม่”
เสวียนเฟยไม่พอใจ “แม่นาง ข้อตกลงของเราคือท่านอย่าก่อเรื่อง แล้วข้าจะมอบดอกถานเชิงแก่ท่าน คำขอของท่านตอนนี้ไม่อยู่ในขอบเขตข้อตกลงของเรา”
หมิงเวยยิ้ม “เหตุใดท่านนักพรตถึงได้ทำตัวเหินห่างเช่นนี้ล่ะ ในเมื่อท่านกับข้าร่วมกันปิดบังเรื่องการมีอยู่ของดาวตี้ชิง ตอนนี้แสร้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องไม่สายไปหน่อยหรือ”
……………