คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 249 ใส่ร้าย
“เจ้าคุยอะไรกับเขา” จี้เสียวอู่เหลือบมองเสวียนเฟยที่เดินออกมาจากประตู สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย!
หมิงเวยพูดอย่างใจเย็น “แค่เรื่องเล็กน้อย พวกเรากลับกันเถอะ”
จี้เสียวอู่คิดในใจ แค่เรื่องเล็กน้อยทำให้คนกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือ นางคิดว่าตนเองเป็นซูฉิน[1] หรือจางอี้[2] หรืออย่างไร สองพี่น้องเดินกลับไปยังเรือนพักชั่วคราว ซึ่งขณะนั้นทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่
เมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาแล้ว จี้ฮูหยินก็กล่าวทักทาย “ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลยใช่หรือไม่ มาทานรองท้องก่อนเถอะ อาหารของเสวียนตูกวันรสชาติไม่เลวเลย ต่อไปเสียวอู่คงไม่ต้องลำบากแล้ว”
จี้เสียวอู่กะพริบตาปริบๆ เขาได้ยินผิดไปหรือไม่ ครอบครัวยอมให้เขาเข้าเสวียนตูกวันอย่างสงบเพียงนี้เลยหรือ ที่จริงแล้วเขาต้องร้องไห้อ้อนวอนทำทุกวิถีทางให้ท่านพ่อท่านแม่จำใจเห็นด้วยไม่ใช่หรือ
นายท่านจี้วางมาด “เห็นเจ้าทำตัววุ่นวายจนน้องสาวเจ้าต้องคอยตามเช็ดก้นให้ ที่ผ่านมาเจ้าบอกเสมอว่าการเล่าเรียนไม่ใช่ความใฝ่ฝันของเจ้า ตอนนี้ได้โอกาสพอดี ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้วต่อไปก็ตั้งใจศึกษาเรียนรู้ ในเมื่ออยากเป็นเสวียนชื่อเจ้าจะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว”
จี้เสียวอู่ตะลึงไปชั่วขณะเขาเห็นทุกคนมีท่าทีสงบเสงี่ยม พี่สะใภ้กำลังทานอาหาร จี้หลิงอุ้มจูเอ๋อร์สอนท่องสูตรคูณ ตัวฝูบ่นเรื่องแขนเสื้อของหมิงเวยที่เสียดสีจนเลอะแล้วพานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า…
ทุกอย่างดูปกติดี ดูเหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดูน่าสนใจอะไร
“ท่านพ่อ…”
เขาแค่เอ่ยปากเรียก แต่นายท่านจี้กลับทำหน้าบึ้งตึง “ทำไม เจ้าไม่อยากเรียนแล้วหรือ”
“ไม่ๆๆ ข้าจะเรียน ข้าจะตั้งใจเรียนเลย!” จี้เสียวอู่รีบตอบ
นายท่านจี้มีสีหน้าผ่อนคลายลง “เช่นนั้นก็ดี เอาล่ะมาทานข้าวเถอะ!”
“อ้อ…” จี้เสียวอู่นั่งลงหน้าโต๊ะอาหารแล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้
อะไรคือให้น้องสาวคอยตามเช็ดก้นกัน เห็นได้ชัดว่าน้องหญิงทำให้เขาต้องพบเจอเรื่องราวมากมายก่ายกอง!
หมิงเวยเองก็แปลกใจมาก นางคิดว่าหลังจากแข่งขันเสร็จจะต้องถูกสอบสวนเป็นแน่จึงเตรียมตัวมาอย่างดีที่จะเล่าทุกอย่างให้ครอบครัวฟัง แต่ทำไมถึงไม่มีผู้ใดถามเลยเล่า
สีหน้าของนางดูงงงวย ยามที่สายตาของนางประสานกับสายตาของจี้หลิงก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มให้อย่างรู้ทัน ความหมายของรอยยิ้มนั้นช่างน่าพิศวงจนนางผงะไปชั่วขณะ
เดี๋ยวนะพี่ใหญ่ ท่านบอกอะไรพวกเขากันแน่!
…………
หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเสร็จเรียบร้อย หยางชูก็ขอตัวลา หลังจากที่เขาจากไปได้ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาเงียบๆ
ฮ่องเต้กำลังนอนพักผ่อน ว่านต้าเป่าเดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวังและกระซิบบอกพระองค์ว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปสักพักฮ่องเต้ก็เลิกม่านขึ้นพระองค์กลัวว่าจะปลุกเผยกุ้ยเฟยตื่นเข้าจึงไปที่ห้องข้างเคียงเงียบๆ
“มีอะไรหรือ” ว่านต้าเป่าเป็นคนรู้ความหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ จะไม่มาปลุกตนในเวลานี้
ว่านต้าเป่าช่วยจัดปกคอเสื้อและทำความสะอาดหน้าให้อีกฝ่าย “นักพรตอวี้หยางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญจะทูลกับฝ่าบาท”
หากเป็นเวลาอื่นคงให้อวี้หยางรอไปก่อน แต่ตอนนี้เรื่องดาวมารเป็นเรื่องใหญ่มาก
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ให้เขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้หยางเข้ามาในห้องแล้วถวายบังคม
ฮ่องเต้ยกมือขึ้น “ไม่ต้องมากพิธี เห็นว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่พูดออกมาเล่า”
เมื่อเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าไม่พอใจอวี้หยางจึงระวังมากขึ้น “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้สำคัญมาก กระหม่อมคิดไตร่ตรองอยู่นานจึงได้รวบรวมความกล้ามาทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”
“เรื่องดาวมารพ่ะย่ะค่ะ” อวี้หยางชะงักไปพักหนึ่ง “ในระหว่างที่กระหม่อมกำลังพยากรณ์พบว่าดาวมารดวงนี้เหมือนจะถูกปิดซ่อนเอาไว้แล้วมาถูกเปิดเผยเข้าในวันนี้ กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจจึงกลับไปคำนวณดูอีกครั้งแล้วพบว่า…”
สีหน้าของฮ่องเต้บึ้งตึง “หมายความว่าอย่างไร”
อวี้หยางลังเล ฮ่องเต้ตะโกนขึ้น “พูดมา!”
อวี้หยางกัดฟันแล้วโพล่งออกไปว่า “ดาวมารดวงนี้อยู่ข้างกายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของฮ่องเต้มืดมนอย่างรวดเร็วแล้วพระองค์ก็ตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ใครอยู่ข้างนอก”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ว่านต้าเป่ารีบเดินเข้ามาตามคำสั่ง
“ลากเขาออกไป!”
ว่านต้าเป่าตกใจ แต่ก็ทำตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล “พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้หยางตกใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นทหารยามเข้ามา เขาหันกลับไปหาฮ่องเต้ก็เห็นว่าพระองค์หันหน้าไปยังห้องข้างๆ ก็เข้าใจได้ทันทีจึงรีบตะโกนออกไปว่า “ฝ่าบาท! คนที่กระหม่อมพูดถึงไม่ใช่สนมกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดฟังกระหม่อมพูดให้จบก่อน”
ฮ่องเต้ชะงักแล้วโบกมือให้ว่านต้าเป่า
ฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ แล้วตรัสว่า “ราชครูซูสิงมีพระคุณต่อข้ามาก ลูกศิษย์ของเขาเจิ้นจึงดูแลเป็นอย่างดี แต่หากเจ้าหลอกลวงทุกคนด้วยคำว่ามารคำนี้ละก็เจิ้นคงต้อง…”
เม็ดเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของอวี้หยาง เขาคิดเสมอว่าการเป็นราชครูของแผ่นดินนั้นง่ายดาย เขาเฝ้ามองดูอาจารย์ของตนเอง ปฏิบัติธรรมอย่างเงียบสงบในวันธรรมดา บางครั้งออกความคิดเห็นร่วมกับฮ่องเต้ได้รับความสุภาพนอบน้อม ตอนนี้ตนได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ถึงได้รู้ว่ามันยากเพียงใดที่จะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้โดยไม่มีเงื่อนไข
เขารู้สึกเสียใจในภายหลังที่ไปรับปากคำขอของไท่จื่อ แต่หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็ไม่สามารถรับประกันชีวิตอันเล็กน้อยของตนเองได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ไท่จื่อขุ่นเคืองได้ตอนนี้จึงทำได้แค่กัดฟันทำต่อไป!
“ฝ่าบาท ดาวมารดวงนี้น่าจะเป็นชายและยังมีอายุไม่มากนัก มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกปกปิด กระหม่อมลองคำนวณดูแล้วเมื่อมีบุคคลเช่นนี้อยู่ข้างกายพระองค์จึงไปค้นหาช่วงเวลาตกฟากของเขามา…”
เนื่องจากฮ่องเต้ไท่จู่ให้ความสำคัญมาก บุคคลที่มีตำแหน่งสูงจึงชอบเดินทางมาที่เสวียนตูกวันเพื่ออธิษฐานขอพร โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดส่วนใหญ่จะขอให้นักพรตพยากรณ์โชคให้ กล่าวได้ว่าเสวียนตูกวันเก็บรักษาข้อมูลเวลาตกฟากของชนชั้นสูงไว้ซะส่วนใหญ่
อวี้หยางพูดเสียงเบา “ดวงชะตาปาจื้อของคนผู้นั้นสูงส่ง ชีวิตนี้ควรมั่งคั่งมีหน้ามีตา แต่มีเหตุทำให้ต้องซ่อนตัวจากอันตรายบางอย่าง ฝ่าบาทรงทราบว่าชะตากรรมจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความจริงในตอนนี้ เขารู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม มีแนวโน้มเปลี่ยนจากดีเป็นร้ายซึ่งมีความสอดคล้องกับดาวมารพ่ะย่ะค่ะ! ” ฮ่องเต้ไม่เอ่ยอะไรสักพักใหญ่
อวี้หยางพูดได้อย่างชัดเจนพอที่จะรู้ตัวตนของบุคคลนี้
เดิมทีตนไม่คิดสงสัยอะไร แต่คำพูดที่ว่า ‘ตัวตนที่แท้จริงถูกปกปิด’ นั้นตรงกับสิ่งที่เขากังวลได้อย่างประจวบเหมาะ
อวี้หยางสังเกตจากสีหน้าและคำพูดจึงรู้ว่าตนเองจับจุดถูกแล้วจึงรีบถอยออกมา “กระหม่อมทราบดีว่าทักษะของตนเองยังไม่ล้ำลึกพอ หากฝ่าบาททรงสงสัยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ตอนนี้พวกท่านอาจารย์กำลังทำพิธีดูดาวอีกไม่ช้าคงสามารถพยากรณ์ดวงดาวได้ ฝ่าบาททรงรออีกสักหน่อยเพื่อดูว่าผลการพยากรณ์ของท่านอาจารย์สอดคล้องกันกับของกระหม่อมหรือไม่”
ผ่านไปนานฮ่องเต้ถึงเอ่ยออกมาว่า “ผลว่าอย่างไร”
อวี้หยางตอบด้วยความมั่นใจ “ประการแรก ดาวมารเป็นบุรุษ ประการสอง อายุยังน้อย ประการสาม ดาวมารถูกปิดซ่อนตัวอยู่ หากสามประการนี้สอดคล้องกัน ฝ่าบาทสามารถนำดวงชะตาปาจื้อของคนผู้นั้นมาคำนวณอีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่กระหม่อมกล่าวมาเป็นจริงหรือไม่”
“แล้วถ้าหากไม่ถูกต้องล่ะ”
อวี้หยางเงยหน้าขึ้น “หากฝ่าบาทจะลงโทษกระหม่อมจะไม่คัดค้านพ่ะย่ะค่ะ! ”
หลังจากเงียบไปนานในที่สุดฮ่องเต้ทรงตรัสว่า “ไปได้แล้ว”
เมื่อฟังน้ำเสียงที่สงบของพระองค์ จิตใจของอวี้หยางผ่อนคลายลง เขาโค้งกายตอบกลับไปว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากออกจากห้องโถงเขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วยิ้ม
ในเมื่อตัดสินใจวางแผนใส่ร้ายผู้อื่นไปแล้ว ตนจะไม่เตรียมใจได้อย่างไรล่ะ สิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
………………
[1] ซูฉิน : มหาอำมาตย์ผู้นำพันธมิตรหกแคว้นต่อต้านแคว้นฉิน
[2] จางอี้ : อุปราชแคว้นฉิน