คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 275 ประณาม
ตั้งแต่คดีลักพาตัวเหวินอิ๋งก็กลายเป็นคนโหดร้ายมากขึ้น แต่ก่อนนางแค่เย่อหยิ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นเหวินหรูที่รบนำหน้า ชื่อเสียงของนางจึงไม่ได้เลวร้ายนัก แต่หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว นางรู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
เหวินหรูกลายเป็นคนเงียบ แม้จะติดตามนางแต่ก็ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นไปทุกที่อีกต่อไป มีดที่ถืออยู่ในมือของนางนั้นกลายเป็นใช้งานได้ยากซึ่งทำให้เหวินอิ๋งโกรธมาก
แต่คนที่ทำให้นางคลุ้มคลั่งกว่านั้นก็คือไท่จื่อ ครั้งก่อนที่เขาไปที่เสวียนตูกวันเขาไปที่นั่นแต่นำคนไปด้วยกลุ่มหนึ่งทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ
ยังมีอีกหลายครั้งไม่ว่านางจะนัดหมายอย่างไรไท่จื่อก็ไม่แยแสเลย แต่ก่อนไท่จื่อไม่เป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ได้มีท่าทีที่ชัดเจนแต่ก็ดูแลลูกพี่ลูกน้องอย่างนางเป็นอย่างดี แต่สองสามครั้งนี้เขากลับหลีกเลี่ยงและไม่เปิดโอกาสให้เลย
เหวินอิ๋งอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไปได้ยินอะไรมาหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงนางก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ทำให้อารมณ์ของเหวินอิ๋งยิ่งยุ่งเหยิง นางเต็มใจที่จะถูกลักพาตัวงั้นหรือ นางยังไม่ได้ทำผิดอะไรเลยอีกอย่างนางก็กลับมาอย่างปลอดภัยไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ เหตุใดต้องหลีกเลี่ยงนางอย่างโหดร้ายเช่นนี้ด้วย
ภายใต้ความคิดที่ไม่สมดุลหมิงเวยก็ถูกนางสังเกตเห็นเข้า
ที่สถานศึกษากลุ่มของเว่ยเสี่ยวอันมักจะวนเวียนรอบตัวหมิงเวยอยู่เสมอ แม้แต่หัวหน้าอย่างซุนเว่ยก็ยังปกป้องนางต่อหน้าอาจารย์ นางคิดจะสั่งสอนซุนเว่ยอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ลงมือไปมักมีงูขาวประหลาดปรากฏขึ้น
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือของพวกนางสองพี่น้องในสถานศึกษาอยู่เสมอทำให้พวกคุณหนูชนชั้นสูงที่ใกล้ชิดพวกนางตีตัวห่างออกไป สถานการณ์ในสถานศึกษาไม่ค่อยสบายใจนัก แต่หมิงเวยกลับปรากฏตัวในงานพิธีกรรมที่เสวียนตูกวันนี้ได้
หลังเสร็จสิ้นงานพิธีกรรมผู้คนในสถานศึกษามองนางราวกับว่านางเป็นเทพธิดา แม้แต่หลู่ชานจากห้องหานอิงยังมาสอบถามนางเป็นพิเศษ
หลู่ชานเป็นหลานสาวของโส่วเซี่ยงหลู่เฉียน นางมีรูปร่างหน้าตาและความสามารถทางวิชาการที่โดดเด่น เป็นสตรีที่มีความสามารถและชื่อเสียงในสถานศึกษาหมิงเฉิงและในเมืองหลวงด้วย คุณชายที่ต้องการแต่งงานกับนางเรียกได้ว่าเป็นจำนวนที่สามารถวนรอบแม่น้ำจินสุ่ยได้ตั้งสองรอบ
ถึงแม้เหวินอิ๋งจะไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลู่ชานเป็นสตรีที่มีมาตรฐานมากที่สุดในสายตาทุกคน
ตอนนี้เฉิงเอินโหวได้รับอำนาจ แต่ยังต้องอาศัยความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ฮ่องเต้รู้สึกละอายใจต่อฮองเฮาผู้ล่วงลับไปแล้ว และเมื่อเผชิญหน้ากับไท่จื่อซึ่งเขามีพระคุณต่อจวนเฉิงเอินโหวมากนัก อีกทั้งไท่จื่อเองยังใกล้ชิดกับครอบครัวของท่านปู่อีกด้วย
แต่กับตระกูลหลู่นั้นแตกต่างกัน พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ในบรรดาตระกูลขุนนางเป็นผู้นำด้านวิชาการ ทุกคนในตระกูลล้วนมีพรสวรรค์ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองพวกเขาดูดีมีระดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพระญาติกับตระกูลขุนนางที่มีอำนาจมาหลายชั่วอายุคนยังต้องพูดอีกหรือว่าผู้ใดอยู่เหนือกว่า
เหวินอิ๋งทำได้เพียงแค่บ่น นางเป็นเพียงแค่พระญาติ แต่เนื่องจากช่องว่างขนาดใหญ่กับหลู่ชาน ไม่ว่านางจะอิจฉาแค่ไหนก็ทำได้เพียงกลืนมันเข้าไป
แล้วหมิงเวยล่ะ นางมีอะไรกัน
ขุนนางต้องโทษสมรู้ร่วมคิด บิดาถูกตัดศีรษะ ลุงถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเนรเทศ ครอบครัวแตกแยกกระจัดกระจาย ชื่อเสียงของหนานเซียงโหวไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีกแล้ว
หากไม่ใช่เพราะพระเมตตาของฝ่าบาท นางอาจกลายเป็นสตรีในหอคณิกาสักที่ก็เป็นได้ แล้วนางมีสิทธิ์อะไรใช้ชีวิตอย่างคุณหนูจากตระกูลผู้ดีกัน ครั้งก่อนนางได้ยินพี่ใหญ่พูดว่าไท่จื่อถามเขาเกี่ยวกับคุณหนูเจ็ดไม่ใช่เพราะว่านางเกิดมามีหน้าตาเช่นนั้นหรอกหรือ
เห็นได้ชัดว่านางหมั้นหมายแล้ว แต่ยังพัวพันอยู่กับคุณชายสามตระกูลหยางที่แท้ก็เป็นนางจิ้งจอก!
ได้ยินหมิงเวยถามเมื่อครู่นี้นางก็โพล่งคำนี้ออกไปทันที
ปฏิกิริยาแรกของหมิงเวยไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความประหลาดใจ
นางชี้ตนเอง “นางจิ้งจอก ข้างั้นหรือ”
“อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้!” เหวินอิ๋งตะคอก “เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้หรือว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อครู่นี้เจ้ากับคุณชายสามตระกูลหยางไปไหนกันมา เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีสัญญาหมั้นหมายแต่ยังพัวพันกับชายอื่น คุณชายดวงกินภรรยาคนนั้นเจ้ายังกล้าเกี่ยวข้องด้วย…ช่างทำตัวสำมะเลเทเมาจริงๆ!”
หมิงเวยไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะถูกคนอื่นดูถูก
ในชีวิตก่อน นางถูกด่าว่าเป็นปีศาจเคยทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว แต่ไม่เคยถูกคนด่าว่าเป็นนางจิ้งจอก
นางไม่เต็มใจที่จะทำลายประสบการณ์ใหม่นี้ อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร กระโจมข้างๆ นางก็ถูกยกขึ้น จี้หลิงออกมาจากกระโจมเขายืนตัวตรง และจ้องไปที่พี่น้องตระกูลเหวินอย่างเย็นชา
เหวินอิ๋งไม่คาดคิดว่าจะมีชายคนหนึ่งออกมาในทันที นางก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่นางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางมองดูชุดของจี้หลิง ชัดเจนว่าไม่มีชนชั้นขุนนางนางเป็นคุณหนูจากตระกูลโหวจะกลัวไปทำไม
ดวงตาของจี้หลิงเหมือนกระแสไฟเขากวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้านี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่สุภาพอย่างยิ่ง เหวินอิ๋งโกรธมากและได้ยินเขาพูดว่า “น้องหญิง กลิ่นแรงมากน้องได้กลิ่นหรือไม่”
หมิงเวยไม่คิดว่าจี้หลิงจะพูดออกมา
เด็กผู้หญิงกำลังทะเลาะกันมีบุรุษเดินเข้ามาร่วมวงด้วยเป็นเรื่องไม่เหมาะสมพูดอีกอย่างคือนางยังไม่ได้ทะเลาะกัน! แต่พี่ใหญ่ออกโรงแทนนาง นางจะปฏิเสธได้อย่างไร
หมิงเวยยิ้ม “จมูกน้องไม่ค่อยดีเลยไม่ได้กลิ่นอะไร พี่ใหญ่ได้กลิ่นอะไรหรือเจ้าคะ”
จี้หลิงกระตุกมุมปากเขาหัวเราะเสียงเย็น “กลิ่นแรงมาก! พี่ไม่รู้ว่าสัตว์ตัวไหนมาปลดเบาที่ประตูกระโจมของเรา มันเหม็นจริงๆ”
หมิงเวยทำท่าทางเหมือนเข้าใจได้ทันที “หากพี่ใหญ่ไม่พูดน้องคงไม่รู้ พูดถึงน้องก็ได้กลิ่นเลย แต่สัตว์ก็คือสัตว์ ไม่ว่าที่ไหนก็ปลดเบาได้เจ้าค่ะ!”
สองพี่น้องพูดเรื่องปลดเบาทำเอาเหวินอิ๋งหน้าแดงก่ำ
นางชี้พวกเขาใช้เวลานานกว่าจะพูดว่า “เจ้า! พวกเจ้าพูดเรื่องนี้ออกไปได้เต็มปากช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!”
จี้หลิงหัวเราะ “คุณหนูผู้นี้ คนอื่นพูดได้แล้วเหตุใดพวกเราจะพูดไม่ได้เล่า หากพูดถึงคนไร้มารยาท คนที่ปลดเบาไปทั่วต่างหากเรียกว่าไร้มารยาท”
เหวินอิ๋งโกรธจนควันแทบออกหู “เจ้าพูด….ทั่วทุกที่ พวกเราเป็นอย่างนั้นตรงไหนกัน!”
จี้หลิงพูด “ที่พวกเราพูดถึงคือสัตว์เดรัจฉานคุณหนูจะเดือดร้อนไปทำไม”
ทำเป็นด่าคนนี้ แต่ความจริงด่าคนนั้นแอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลังแล้วทำให้ตนเองดูสะอาด นี่เป็นการทะเลาะแบบอันธพาล
แม้ว่าเหวินอิ๋งไม่ได้ดีไปกว่าหลู่ชาน แต่นางก็เป็นคุณหนูจากตระกูลที่ดี ไม่ว่าหยิ่งทะนงแค่ไหน แต่นางไม่เคยพบกิริยาเช่นนี้มาก่อน แต่ถูกเขาตอกกลับจนนางพูดไม่ออก
นางไม่คิดมาก่อนว่าเวลาบัณฑิตผู้ดีสาปแช่งผู้อื่นจะโหดร้ายได้ขนาดนี้
เหวินหรูดึงนางอีกครั้ง “พี่สาม พวกเรากลับเถอะ”
ความโกรธของเหวินอิ๋งมีทางระบายออกทันทีนางหันกลับไปตบเหวินหรู “หุบปาก! ข้าให้เจ้าวิจารณ์ข้าในแง่ลบตั้งแต่เมื่อไรกัน พอแล้วสำหรับเจ้า! แต่ละวันทำตัวเหมือนคนที่ตายตามบิดามารดา ยังทำหน้าตานิ่งต่อหน้าข้าอีก อ้อ จริงสิบิดามารดาเจ้าตายไปแล้วนี่! เจ้าไม่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่ ใครใช้ให้เจ้าโชคไม่ดีล่ะ ถ้ารับไม่ได้ก็กลืนมันลงไปซะ!”
เหวินหรูตะลึงที่ถูกอีกฝ่ายดุจนนางอ้าปากค้าง แต่ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อหักล้างได้
“มองอะไร” เหวินอิ๋งดุยิ่งขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ในใจเกลียดข้าแทบตายแต่ก็ต้องเอาอกเอาใจข้าใช่หรือไม่ น่าเสียดายที่ข้าโชคดีกว่าเจ้า ถ้ารับไม่ได้ก็ไปร้องกับพ่อแม่เจ้าที่ตายไปซะ!”
ดวงตาของเหวินหรูแดงก่ำและน้ำตาไหล แม้นางจะรู้อยู่แก่ใจ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ นางจึงทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เมื่อเหวินอิ๋งพูดคำเหล่านี้ออกมานางจะโน้มน้าวตนเองได้อย่างไร พอเห็นหมิงเวยและจี้หลิงที่ยืนอยู่อีกฝั่ง นางก็เงยหน้าเช็ดน้ำตาและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ทิ้งเหวินอิ๋งที่ตะโกนออกมาว่า “ร้องไห้! เจ้าร้องไห้ กลับไปอย่างไรเจ้าก็ต้องมาขอร้องข้าอยู่ดี!”
………………