คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 277 มอบม้าเป็นของขวัญ
เทศกาลชิวเลี่ยจัดขึ้นเพื่ออะไร เพื่อแบ่งคน
เหล่าทหารให้แสดงความสามารถของตน เหล่าขุนนางก็แข่งประชันกลอน ส่วนเหล่าคุณหนูที่มาเข้าร่วมมากมายในปีนี้ นำโดยฮุ่ยเฟยและกุ้ยเฟยก็จัดที่นั่งชมดูด้านข้าง
“หมิงเวย!”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเป็นเว่ยเสี่ยวอันกับฟางจิ่นผิงซึ่งพวกนางก็สวมชุดขี่ม้าเช่นกัน
ทั้งสามคนมองหน้ากันและยิ้มเว่ยเสี่ยวอันกล่าวว่า “เจ้าเองก็ลงสนามด้วยหรือ!”
หมิงเวยพูด “หรือจะปล่อยให้ข้าตกเป็นเป้าของผู้อื่นงั้นหรือ” เด็กสาวทั้งสองคนเข้าใจได้ทันทีจึงหัวเราะ พวกนางทั้งสามไม่มีความคิดอยากเป็นพระชายา
เว่ยเสี่ยวอันรู้ดีว่าเรื่องที่ตนถูกลักพาตัวไปทำให้โอกาสไม่มาถึงนางแน่นอน ตระกูลของฟางจิ่นผิงมีพี่น้องมากมาย ตัวเลือกมีไม่ขาด
หากต่อสู้กับคนเหล่านี้อาจได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นการดีกว่าที่จะวิ่งในพื้นที่ล่าสัตว์!
พวกนางเป็นนักเรียนของสถานศึกษาหมิงเฉิงมีทักษะในการขี่ม้ายิงธนู หากพวกนางไม่อวดในตอนนี้แล้วจะให้อวดตอนไหนกัน
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
เหล่าองค์ชายและขุนนางออกล่าสัตว์แน่นอนว่าต้องจริงจังมากขึ้น คนมากมายขนาดนี้จำเป็นต้องแบ่งสถานที่ ไม่เช่นนั้นอาจทำร้ายคนอื่นเข้าได้ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
นอกจากนี้หากพบเหยื่อขนาดใหญ่ควรทำอย่างไร จะปล่อยให้คนอื่นแย่งไปงั้นหรือ แน่นอนว่าต้องพาบ่าวรับใช้ สุนัขล่าเนื้อมาล้อมเหยื่อก่อนแล้วปล่อยให้เจ้านายลงมือ
ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันช่วยประหยัดกำลังคนและพื้นที่ได้เยอะ
จู่ๆ เว่ยเสี่ยวอันก็เห็นอะไรบางอย่างและพูดขึ้นว่า “ดูนั่น พี่น้องตระกูลเหวินก็ลงสนามด้วยหรือ”
หมิงเวยเหลือบมอง ใช่หรือ เหวินอิ๋งกับเหวินหรูทั้งคู่อยู่ในชุดขี่ม้า เมื่อวานพวกนางสองคนทะเลาะกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกในขณะนี้
ฟางจิ่นผิงกลอกตาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้ว”
“รู้อะไรหรือ”
ฟางจิ่นผิงยกมุมปากและส่งสัญญาณให้พวกนางมองไปทางนั้น คุณหนูที่กำลังสนทนาอยู่กับฮุ่ยเฟยไม่ใช่หลู่ชานหลานสาวของหลู่เซียงหรอกหรือ
“ถ้าหากอยู่ต่อก็ต้องแต่งบทกวี พวกนางไร้ความสามารถทั้งสองคนจะไปเทียบกับคนมีความสามารถอย่างคุณหนูหลู่ได้อย่างไร แทนที่จะอยู่ให้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น สู้แยกตัวออกมาจะดีกว่า”
เว่ยเสี่ยวอันพยักหน้ารัวๆ “มีเหตุผล”
ใกล้จะถึงเวลาแล้วมีนางในลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เชิญคุณหนูทั้งหลายนั่งประจำที่ ข้าน้อยจะได้ทราบว่ามีคุณหนูลงสนามกี่ท่าน”
พวกหมิงเวยทั้งสามคนเดินออกมา มีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยที่เลือกเหมือนพวกนางและส่วนใหญ่เป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการทหาร
คนที่ทำให้หมิงเวยรู้สึกแปลกใจก็คือซุนเว่ยก็อยู่หนึ่งในนั้นด้วย
เมื่อเห็นพวกนางซุนเว่ยพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเฉยเมย ตั้งแต่หมิงเวยมอบนกหวีดให้แก่นาง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็กลายเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันที่แปลกประหลาด
ภายนอกซุนเว่ยยังคงถือตัวไม่ค่อยพูดคุยกับพวกนางมากนัก แต่ในเรื่องของการเรียน หมิงเวยที่มักขาดเรียนนางก็ช่วยปกปิดให้
การมอบนกหวีดให้นั้นไม่ทำให้หมิงเวยขาดทุนเลย!
เผยกุ้ยเฟยยิ้มให้เด็กสาวตรงหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทุกคนจะลงสนามล่าสัตว์ใช่หรือไม่” ทุกคนขานรับพร้อมเพรียงกัน
เผยกุ้ยเฟยกล่าวชมเชย “ดี! ผู้ใดบอกว่าสตรีด้อยกว่าบุรุษกัน พวกเขาจะได้รับรางวัลเมื่อได้เหยื่อแล้วเราจะยกเว้นได้อย่างไร เปิ่นกงให้สัญญาว่าตราบใดที่พวกเจ้าทำได้ เปิ่นกงจะมอบรางวัลให้ทุกคน!” เหล่าเด็กสาวยิ้มด้วยความดีใจ
ฮุ่ยเฟยกล่าวอีกว่า “ในเมื่อกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ เปิ่นกงเองก็อยากร่วมสนุกด้วย เปิ่นกงจะมอบปิ่นให้คนละอัน” เหล่าเด็กสาวยิ่งดีใจมากกว่าเดิม
แน่นอนว่าด้วยชาติกำเนิดของพวกนางปิ่นปักผมนั้นพวกนางไม่ได้ขาดแคลน แต่นี่เป็นรางวัลจากวังหลวงและเป็นตัวแทนของหน้าตา
แม้จะไม่ได้เป็นพระชายา แต่หากได้รับการชมเชยจากพระสนม การหาคู่ครองยิ่งง่ายขึ้น เผยกุ้ยเฟยให้กำลังใจพวกนางอีกสองสามคำ และโบกมือให้พวกนางไปเตรียมตัว
เว่ยเสี่ยวอันเรียกซุนเว่ย “ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่นี่ พวกนางต้องแข่งแต่งกวีแน่ เจ้ามีความสามารถ บางทีอาจได้รับคำชมจากพระสนม”
ซุนเว่ยส่ายหน้าและกระซิบ “คนเยอะไปข้าอึดอัด”
ทั้งสามคนเข้าใจในทันทีนางก็เป็นคนที่ไม่อยากเป็นพระชายาด้วยเช่นกัน
เว่ยเสี่ยวอันมองหมิงเวย จากนั้นก็มองฟางจิ่นผิงแล้วพูดรวบรัดว่า “มาอยู่กับพวกเราไหม ตระกูลของเจ้าเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีทหาร การล่าสัตว์ไม่ใช่แค่การถือธนูกับขี่ม้า”
ซุนเว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ขอบคุณมาก”
ฟางจิ่นผิงยิ้มให้นางและพูดติดตลกว่า “เป็นเกียรติที่มีหัวหน้าอยู่กับเรา กลับสถานศึกษาข้าจะเป่าให้กระเด็นเลย!”
เด็กสาวทั้งสี่หัวเราะจากนั้นก็เดินไปจูงม้า เผยกุ้ยเฟยเห็นม้าของหมิงเวยก็เลิกคิ้ว และออกคำสั่งกับนางในสองสามคำ นางในรับคำแล้วเดินจากไป
ไม่นานนางก็พาหยางชูมาหา วันนี้หยางชูสวมชุดขี่ม้า มือถือแส้ เขาเกิดมามีฐานะโดดเด่น รูปร่างสูงใหญ่ พอสวมใส่ชุดนี้ยิ่งดูสง่างามกล้าหาญมากขึ้น ซึ่งดูต่างจากคุณชายร่างกายอ่อนแอทำเอาเหล่าคุณหนูที่นั่งชมอยู่ด้านข้างต่างหน้าแดง
มองดูคุณชายสามตระกูลหยางที่มีชาติกำเนิดสูงส่งพลางคิดในใจว่าน่าเสียดายที่มีดวงกินภรรยา เมื่อออกข้างนอกก็อึดอัดด้วยใบหน้าเช่นนี้ จริงๆ แล้วค่อนข้าง…
เหล่าคุณหนูที่มีฐานะต่ำลงมารู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้น พวกนางไม่มีโอกาสถูกเลือกให้เป็นพระชายาอยู่แล้วจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อสร้างความประทับใจต่อหน้าพระสนมก็เท่านั้น คุณชายสามตระกูลหยางสำหรับพวกนางแล้วถือเป็นเป้าหมายที่ยอดเยี่ยม
ถือกำเนิดในจวนโหว ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ถึงจะอึดอัดนิดหน่อยแต่ก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลของตนมาก ส่วนเรื่องดวงกินภรรยานั้น ไม่แน่คนอื่นแค่อายุสั้น การมีสามีเช่นนี้เป็นเรื่องน่ายินดีและคุ้มค่าไปชั่วชีวิต
เผยกุ้ยเฟยดูภูมิใจในตัวเขามากหลังสำรวจเสร็จนางก็ถามว่า “หลานต้องลงสนามใช่หรือไม่”
หยางชูยิ้ม “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเรียนไม่เก่งตั้งแต่เล็ก หากให้มาแข่งแต่งกลอนคงถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่”
เผยกุ้ยเฟยตำหนิเขาเล็กน้อยแล้วถามว่า “วันนี้หลานขี่ม้าอะไร หมาล่าเนื้อล่ะ เตรียมพร้อมหรือยัง”
“เป็นม้าว่างอวิ๋นจุยที่ท่านย่ามอบให้ก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ” หยางชูตอบตามตรง “ม้าพันลี้เช่นนี้หากไม่ปล่อยให้มันออกวิ่งบ้างก็คงเสียเปล่า”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้า ม้าว่างอวิ๋นจุยก็ยังดี แต่ม้าสิงโตหยกตัวนั้น…
หยางชูมองตามสายตาของนางก็เข้าใจได้ทันทีจึงตอบเสียงเบา “เหนียงเหนียง กระหม่อมแค่ให้นางยืมก็เท่านั้น…”
“หลานให้คนอื่นยืมม้าตั้งแต่เมื่อไร” เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงเรียบเฉย “น้าบอกหลานแล้วว่าแม้นางมีสัญญาหมั้นหมาย ไม่มีปัญหาหากถอนหมั้น น้าให้โอกาสนางแล้วแต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรหลานก็รู้ ในเมื่อนางไม่ต้องการหลานก็ควรตัดใจแล้วหาสตรีนางอื่นแทน อย่าคิดเรื่องอื่นเลย” หยางชูมีสีหน้าลำบากใจ
เผยกุ้ยเฟยรู้สึกโกรธเล็กน้อย “หลานไม่ฟังที่น้าพูดเลยใช่หรือไม่”
หยางชูถอนหายใจแล้วพูดว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมฟังคำพูดของท่าน แต่คำพูดของมัน กระหม่อมไม่ฟังไม่ได้!” พูดแล้วเขาก็ชี้ไปที่หน้าอกของตนเอง
เผยกุ้ยเฟยตกใจและยิ้มอย่างขมขื่น “หลานช่วยทำให้น้าสบายใจขึ้นหน่อยไม่ได้หรือ”
“ท่านน้าไม่ต้องกังวล” หยางชูใช้โอกาสนี้พูดว่า “ตอนนี้นางอ่อนข้อให้แล้ว ท่านให้เวลาข้าสักหน่อยเถิด”
เผยกุ้ยเฟยมีสีหน้าสับสน “อ่อนข้องั้นหรือ”
“ขอรับ! ไม่เช่นนั้นนางจะยอมรับม้าที่ข้าส่งไปให้หรือ”
“….”
“ท่านน้า!”
เผยกุ้ยเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หากหลานพูดเช่นนี้ เรื่องนี้ฝ่าบาทต้องออกคำสั่งด้วยตัวพระองค์เอง ครั้งนี้จำเป็นต้องจัดการเรื่องการแต่งงานของหลาน”
………