คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 294 ไปเมืองหลวง
“….”
เสวียนเฟยพูด “อย่างไรก็ตามท่านเป็นคุณหนูในห้องหอไม่กลัวเสียชื่อเสียงหรืออย่างไร”
หมิงเวยตอบ “มีชื่อเสียงที่ดีเพื่อออกเรือน แต่ตอนนี้ข้ามีคู่หมั้นแล้วจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า”
แล้วเสียงของจี้หลิงก็ดังมาจากด้านหน้า “น้องหญิงพี่ได้ยินนะ!”
อย่าพูดต่อเลยยิ่งพูดยิ่งฟังดูไม่เข้าท่า!
หมิงเวยทำได้เพียงไหวไหล่นางพูดว่า “เจ้าสำนักเสวียนเฟยมีคำแนะนำหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยเป็นคนที่สงบมาโดยตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่สุขไม่โกรธ แต่ตอนนี้เขาอยากจะทุบหัวคนในรถม้าจริงๆ!
“พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์ของเขา!” เสวียนเฟยกัดกรามแน่น
“อ้อ เรื่องรูปลักษณ์!” หมิงเวยพยักหน้า “ข้าดูออกตั้งนานแล้วทำไมหรือเจ้าคะ”
“ท่านไม่คิดหรือว่าความลับไม่อาจเป็นความลับได้ตลอดไป” หมิงเวยลูบคางอย่างครุ่นคิด
เสวียนเฟยพูดอีกว่า “นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นท่านเตรียมตัวให้ดีเถอะ” พูดจบเขาก็ดึงบังเหียนและขี่ม้าไปข้างหน้า
ตัวฝูได้ยินก็รู้สึกสับสนนางถามหมิงเวยว่า “คุณหนูเขาพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ ปริศนางั้นหรือ”
หมิงเวยหัวเราะแต่สีหน้าของนางกลับดูจริงจัง “คนสูงศักดิ์ชอบพูดเพียงครึ่งเดียวจึงดูเหมือนคำพูดลึกซึ้งจนเดาไม่ถูก”
“อ้อ!” ตัวฝูดูเหมือนจะเข้าใจ “งั้นบ่าวคงต้องเดาว่าอีกครึ่งประโยคคืออะไรสินะเจ้าคะ”
หมิงเวยมองฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของนางไร้รอยยิ้ม
ความลับ…ถูกพบแล้วงั้นหรือ
…………
ฮ่องเต้เสด็จกลับเมืองหลวงขบวนล่าสัตว์แยกย้ายกันกลับจวนของตนเองหยางชูกลับไปที่จวนโป๋วหลิงโหว
เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา ถ้าเขาต้องการผ่านความยากลำบากนี้ก็ควรหาผู้ช่วย แต่เขารู้สึกหดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกไม่อยากพูดอะไร ไม่อยากทำอะไรเพียงแค่ต้องการรอผลลัพธ์ที่จะมาถึงเท่านั้น
คำตอบที่พัวพันกันมานานถึงสามปีดูเหมือนจะใกล้มาถึงแล้ว และวันต่อมาข่าวก็มาถึงจวนโป๋วหลิงโหว
ฮ่องเต้มีราชโองการ หยางชู เลขานุการหวงเฉิงซือไม่สามารถตามหาผู้ที่ปองร้ายราชวงศ์ได้ทำให้ฮ่องเต้ตกอยู่ในอันตราย ล้มเหลวในหน้าที่และต้องถูกนำตัวเข้าคุกหลวง
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปทุกคนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างตกตะลึง
คุณชายสามจากจวนโป๋วหลิงโหวไม่ใช่ว่าเป็นกาฝากหรอกหรือ ล้มเหลวในหน้าที่ มีอะไรที่ทำให้เขาล้มเหลวกัน
แต่ถึงแม้เขาจะล้มเหลวในหน้าที่จริงๆ แต่เผยกุ้ยเฟยก็มองเขาเป็นเสมือนบุตรแท้ๆ และฮ่องเต้เองก็ให้ความโปรดปรานเขาไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ร้ายแรงถึงขั้นต้องจำคุกเชียวหรือนี่ หรือว่าจวนโป๋วหลิงโหวจะสูญเสียอำนาจเขาจึงถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ไม่ใช่สิจวนโป๋วหลิงโหวยังอยู่ดีแม้แต่โป๋วหลิงโหวยังไปอ้อนวอนขอความเมตตาเพื่อหลานชายของตนเลย
แปลกจริงเรื่องนี้จะจบลงอย่างไรกัน ผู้คนต่างตกใจกับละครฉากนี้กันมากมาย
คุณชายสามจากจวนโป๋วหลิงโหวผู้นั้นถึงจะดูเป็นคนไม่เข้าท่า แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูเป็นการก่ออาชญากรรมเลย ส่วนใหญ่เหล่าคุณชายผู้ดีพวกนั้นก็ล้วนเคยถูกเขากลั่นแกล้งมาก่อน
นี่มันอะไรกัน ไม่ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทจะเรียกว่าคุณชายจากตระกูลผู้ดีงั้นหรือ
ความจริงแล้วเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นผู้ที่ควรร้องทุกข์กับเขามากที่สุดคือเหล่าสหายเสเพลที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเขาไม่ใช่หรือ
พวกเขาไม่ได้สำมะเลเทเมาหรอกหรือ ผู้ที่ไม่ทำเรื่องกบฏต่อฟ้าดิน วันๆ ไม่ทำอะไร แค่มีความดีความชอบของบรรพบุรุษก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่อย่างสบายแล้วเหตุใดถึงขั้นต้องเข้าคุกหลวงด้วย
เดิมทีผู้ที่มีความสุขในเรื่องนี้มากที่สุดควรเป็นไท่จื่อ แต่หลังจากเทศกาลชิวเลี่ยเขาก็พบว่าตนเองมองผิดไป เขาจะสนใจหยางชูไปทำไม เจ้าเด็กเวรซิ่นอ๋องต่างหากคือศัตรูที่เขาควรให้ความสนใจ!
พูดถึงบัลลังก์ถึงหยางชูจะเป็นบุตรนอกสมรสของเสด็จพ่อ แต่ถ้าไม่มีหยกประจำราชวงศ์เขาก็ไม่ใช่คนในราชวงศ์ไม่มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์ แต่ซิ่นอ๋องน้องรองที่แสนดีของเขาต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดลำดับที่สอง ขอเพียงกำจัดเขาให้พ้นออกจากตำแหน่งไท่จื่อได้ อีกฝ่ายก็จะขึ้นเป็นรัชทายาทได้!
พูดถึงเรื่องความสามารถไม่ว่าหยางชูจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่อำนาจทั้งหมดของเขามาจากฮ่องเต้ขอเพียงแตกหักกับเบื้องบนเขาก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
แต่ซิ่นอ๋องได้ผูกมัดใจคนกลุ่มหนึ่งรอบตัวเขาโดยไม่รู้ตัว! อีกอย่างมารดาของอีกฝ่ายก็ยังมีชีวิตอยู่ ฮุ่ยเฟยดูเป็นคนซื่อสัตย์อีกฝ่ายไม่เสียเปรียบอะไรอยู่แล้ว!
ไท่จื่อรู้สึกปลงตกก่อนหน้านี้ตนเองทำอะไรกันต่อสู้กับหยางชูมันเป็นอะไรที่เสียเวลาเปล่ามาก! ซิ่นอ๋องต่างหากที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา หากกำจัดน้องรองคนนี้ออกไปตำแหน่งรัชทายาทของตนก็จะปลอดภัยขึ้น
เหล่าผู้มีความสามารถในตำหนักตงกงรู้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงในใจของไท่จื่อ อีกฝ่ายคงร้องไห้ด้วยความขมขื่นพวกเขาพูดไปหลายครั้งแล้วว่าให้ทรง
เว้นระยะห่างกับองค์ชายรอง แต่ไท่จื่อก็ไม่ฟัง
ตอนนี้ทรงได้สติแล้วก็ยังดีไม่ถือว่าสายเกินไป ฝ่าบาทยังไม่ยอมแพ้กับไท่จื่อยังสามารถต่อสู้ได้! แต่ไท่จื่อไม่ตอบอะไรเรื่องนี้เริ่มต้นจากตรงไหนถึงได้กลายเป็นปัญหาเช่นนี้กัน
………..
ตอนที่หมิงเวยได้รับข่าวนางก็ถอนหายใจ
จี้หลิงถามนาง “น้องรู้เหตุผลหรือไม่”
“พอเดาได้เจ้าค่ะ”
“ช่วยได้หรือไม่”
หมิงเวยยิ้มอย่างขมขื่น “น้องสามารถปล้นคุกโดยตรงเพื่อให้เขาปลอดภัยได้ แต่แม้ว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือเขาก็แพ้อยู่ดีเจ้าค่ะ”
จุดหักเหที่นางค้นพบอย่างยากลำบากจะถูกทำลาย
“พี่เข้าใจแล้ว” จี้หลิงพูด “น้องต้องการช่วยเขาด้วยวิธีปกติใช่หรือไม่” หมิงเวยพยักหน้า
วิธีปกติที่เรียกว่าเปลี่ยนความคิดของฮ่องเต้ และลบล้างความผิดของเขา แต่มันจะง่ายดายเพียงนั้นเลยหรือ เรื่องอื่นฮ่องเต้สามารถปล่อยวางได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
หมิงเวยคิดหาวิธีแต่ก็ยังคิดไม่ออก จี้หลิงคิดเป็นเพื่อนนางอยู่นานเขาพูดว่า
“พวกเราต้องหาผู้ช่วย”
หมิงเวยพยายามทำตัวกระปรี้กระเปร่า “พี่ใหญ่คิดว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“สิ่งที่เรียกว่าวิธีปกติก็คือวิธีของราชสำนัก พวกเราต้องหาใครสักคนที่คุ้นเคยกับราชสำนักและเข้าใจในกฎเกณฑ์เป็นอย่างดีน้องช่วยพี่คิดหน่อย”
หมิงเวยคิด “น้องไปพบได้แค่ใต้เท้าเจี่ยงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
จี้หลิงถอนหายใจ “ตำแหน่งราชการของใต้เท้าเจี่ยงไม่ได้ต่ำ แต่หากต้องการเปลี่ยนพระทัยฝ่าบาทจำเป็นต้องมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้”
หมิงเวยพูด “ตามที่พี่ใหญ่บอกมาคงมีผู้อาวุโสไม่กี่คนที่สามารถทำได้เจ้าค่ะ”
จี้หลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ดีว่ามีเพียงขุนนางระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนความคิดของฮ่องเต้ได้
บุคคลที่มีตำแหน่งสูงที่หมิงเวยรู้จักมีเพียงเจี่ยงเหวินเฟิง แม้จี้หลิงจะมีเส้นสายที่ดี แต่คนส่วนใหญ่ที่เขารู้จักเป็นบุคคลในแวดวงวิชาการไม่ได้อยู่ในราชสำนัก
“หรือต้องให้ใต้เท้าเจี่ยงช่วยคิดหาวิธีดีเจ้าคะ” หมิงเวยพูด
แต่ไม่ต้องรอนางไปหาเจี่ยงเหวินเฟิงก็กลับมาจากสถานศึกษาซานไถแล้ว
แต่เขาไม่ได้กลับมาเพียงลำพังยังพาอาจารย์ที่ไม่คิดยุ่งกับเรื่องในราชสำนักนามฟู่จินมาด้วย
ฟู่จินเข้ามาในเมืองหลวงเขาปฏิเสธคำเชิญของเจี่ยงเหวินเฟิง “ข้ามีที่พักในเมืองหลวงแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงแปลกใจ “อาจารย์มีเรือนในเมืองหลวงด้วยหรือขอรับ”
ฟู่จินโบกมือไม่ตอบคำถามเขาจากนั้นก็เดินฝ่าฝนในฤดูใบไม้ร่วงไป
ครึ่งชั่วยามต่อมาผู้ดูแลต้อนรับจวนหลู่เซียงได้เห็นนักกวีท่านหนึ่งเดินถือร่มมาทางนี้ช้าๆ ท่ามกลางสายฝน
ท่าทางของเขาอ่อนโยนสง่างาม รูปร่างดั่งภูเขาอวี่ซาน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มาก
เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ข้าน้อยนามฟู่จินมาขอพบท่านหลู่เซียงขอรับ”