คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 299 ความจริง
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน” ฟู่จินพูดช้าๆ “ฮ่องเต้ไท่จู่ขึ้นครองราชย์ สถาปนาหยุนจิงเป็นเมืองหลวง แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ แต่งตั้งองค์ชายรองเป็นฉินอ๋อง แต่งตั้งองค์ชายสามเป็นจิ้นอ๋อง ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ทั้งสามพระองค์เป็นพี่น้องที่ปรองดอง เคารพซึ่งกันและกัน แต่สุดท้ายก็มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับอำนาจของฮ่องเต้”
“ในตอนที่ฮ่องเต้ไท่จู่ต่อสู่เพื่อใต้หล้า องค์ชายทั้งสามแม้จะมีพระชนมายุเพียงสิบชันษา แต่พวกเขาก็ติดตามไปร่วมรบทั้งแดนเหนือใต้ ฮ่องเต้ไท่จู่ทราบดีว่าการบุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ครองบัลลังก์นั้นยาก จึงเชิญผู้มีความรู้มาสอนองค์ชายทั้งสามพระองค์ องค์ชายทั้งสามนั้นเฉลียวฉลาดรู้ทั้งงานราชการและงานทหาร”
“เดิมทีคิดว่ามีทายาทที่มีความโดดเด่นเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วแคว้นฉีก็จะสามารถรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้แน่นอน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าองค์ชายทั้งสามนั้นโดดเด่นเกินไป ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจผู้ใดจึงก่อให้เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น ในศักราชหยวนคังที่ยี่สิบเจ็ด มีผู้กล่าวหาไท่จื่อว่าเมาแล้วหลุดพูดความจริง บอกว่าตนเองดำรงตำแหน่งไท่จื่อมายี่สิบปีไม่รู้ว่าจะได้ครองบัลลังก์เมื่อไร”
“ฮ่องเต้ไท่จู่กริ้วมากจึงออกคำสั่งให้ปลดไท่จื่อ ลดตำแหน่งเขาเป็นสามัญชนและย้ายเขาไปที่อี้โจว ไท่จื่อเพื่อปกป้องตนเองจึงพาไท่จื่อเฟย และหวงไท่ซุน[1]ไปที่อี้โจว ฮ่องเต้ไท่จู่ที่อยู่ในอารมณ์หุนหันพลันแล่น เมื่อเห็นการปกป้องตนเองของไท่จื่อ อีกทั้งถูกขุนนางใกล้ชิดทำให้ตาสว่างจึงมีรับสั่งให้เขา และครอบครัวกลับมายังเมืองหลวง”
พูดถึงตรงนี้ฟู่จินก็ถอนหายใจ “ผู้ใดจะรู้ว่าเส้นทางที่ไท่จื่อเดินทางกลับมาจะได้พบกับโจรปล้น พวกเขาถูกสังหารทั้งครอบครัว เมื่อกองทหารรักษาพระองค์เดินทางไปถึงก็ไม่มีผู้ใดมีชีวิตเหลือรอดแล้ว”
เมื่อเห็นว่าท่าทางของหยางชูแปลกไป หมิงเวยยื่นมือออกมาอย่างเงียบๆ และกุมมือเขาใต้โต๊ะ เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากนาง หยางชูมองมือของนางด้วยความงุนงง ความกังวลในดวงตาของนางก็ทำให้เขาสงบลงในที่สุด
“จากนั้นล่ะ” เขาถามออกไป
“ในปีนั้นข้าบังเอิญไปเรียนที่สถานศึกษาซานไถ และแน่นอนว่าเมื่อข้าไปถึงถนนเส้นนั้น ในตอนที่โจรปล้นปรากฏตัวข้าอยู่ด้านหลัง อย่างไรก็ตามด้วยทักษะแมวสามขา[2]ของข้า ถ้าให้ต่อสู้กับโจรธรรมดายังพอได้ แต่จะไปต่อกรกับยอดฝีมือที่แท้จริงรอบกายไท่จื่อได้อย่างไร” ฟู่จินหัวเราะอย่างดูถูกตนเอง
“สรุปก็คือยอดฝีมือเหล่านั้นไม่สามารถปกป้องครอบครัวของไท่จื่อทั้งครอบครัวได้เมื่อข้าไปถึงเหลือเพียงสี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่”
ฟู่จินมองทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะกลม “ไท่จื่อที่ใกล้หมดลมหายใจ คุณชายรองจากตระกูลหยางที่รีบมาช่วยทันทีที่ได้รับข่าวหรือก็คือนายท่านสองตระกูลหยาง และ…”
สายตาของเขามองไปที่หยางชู “หวงไท่ซุนเฟย[3]ที่ได้รับผลกระทบจนต้องคลอดทารกออกมากะทันหัน”
ฟู่จินหยุดเล่าชั่วคราว และทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปนานเสวียนเฟยจึงพูดขึ้นว่า “ไม่แปลกใจที่จะมีชะตากรรมเช่นนี้ เมื่อพิจารณาจากชะตากรรมของเขา เขาน่าจะตายไปนานแล้ว”
ฟู่จินพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไท่จื่อเห็นว่าตนเองไม่น่ามีชีวิตรอดต่อไปได้ และไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดตามมาช่วยหรือไม่ พระองค์ให้พวกเรารีบจากไปโดยเร็ว เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ในอดีต ข้าจึงปกป้องชีวิตหวงไท่ซุนเฟยและบุตรไว้เพื่อให้สายเลือดของเขายังคงอยู่ ในตอนนั้นนายท่านสองตระกูลหยางได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเราจึงรีบพาหวงไท่ซุนเฟย และบุตรชายออกไปจากที่เกิดเหตุ โชคดีที่ระหว่างทางข้าได้พบกับคนที่องค์หญิงใหญ่ส่งมาจึงพาพวกเขากลับไปยังเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเห็นได้ชัดว่าคนในเรื่องนี้กำลังนั่งฟังเรื่องนี้อยู่แท้ๆ แต่เมื่อได้ฟังบรรยากาศกลับตึงเครียดขึ้นมาเอง
“เมื่อข่าวไปถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ไท่จู่ทรงกริ้วหนัก และมีคำสั่งให้สอบสวนอย่างละเอียด ก่อนที่จะตามหาตัวฆาตกรพบพวกเราไม่กล้าเปิดเผยเรื่องหวงไท่ซุนเฟยและบุตรชายให้ผู้อื่นรู้ พวกเราจึงซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็เกิดพายุนองเลือดในเมืองหลวง ฉินอ๋องถูกตัดสินว่ามีความผิด ฮ่องเต้ไท่จู่จึงสั่งเนรเทศด้วยตัวพระองค์เอง ฉินอ๋องออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่นานเขาก็เสียชีวิตระหว่างทาง ส่วนจิ้นอ๋องถูกตัดสินจำคุกและฆ่าตัวตายในที่สุด องค์ชายทั้งสามที่ถูกทุกคนตั้งความหวังไว้สูงต่างจากโลกนี้ไปภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน”
เหตุการณ์ในอดีตสำหรับพวกเขาในที่นี้นั้นเป็นเพียงแค่เรื่องราว พวกเขายังเด็กเกินไป เมื่อถึงเวลาที่พวกเขารับรู้มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือไปแล้ว เป็นการยากที่จะเข้าใจความตื่นเต้น
หลังจากที่ฟังฟู่จินเล่ามาช้าๆ ถึงได้รู้ว่านี่เป็นประวัติศาสตร์แบบไหนสำหรับแคว้นต้าฉี
ฮ่องเต้ไท่จู่ทรงครองอำนาจมายี่สิบกว่าปี สร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่ และองค์ชายทั้งสามที่เชี่ยวชาญในด้านการทหาร หากไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นไม่แน่ว่าแคว้นต้าฉีอาจสามารถรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวได้
“หลังจากนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ก็แต่งตั้งจ้าวอ๋องขึ้นเป็นไท่จื่อ ข้าที่เห็นว่าเรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้วจึงคิดเดินทางไปยังสถานศึกษาซานไถ สำหรับหวงไท่ซุนเฟยและบุตรชายก็ส่งให้องค์หญิงใหญ่ดูแล เท่าที่ข้าทราบฉินอ๋องและจิ้นอ๋องไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ภรรยาและบุตรของพวกเขายังปลอดภัย ตั้งแต่สมัยโบราณหากมีพระนัดดารัชทายาทแต่ไม่มีเหลนจ้าวอ๋องจะไม่มีทางทำร้ายพวกเขาสองแม่ลูกได้” เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเรื่องนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่ว่าไท่จื่อองค์ก่อนจะมีชื่อเสียงมากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าฮ่องเต้ไท่จู่แต่งตั้งไท่จื่อองค์ใหม่ เขาถือเป็นสายเลือดโดยตรงผู้ที่รักหลานชายจนแต่งตั้งเขาเป็นหวงไท่ซุน[4] แต่ไม่ได้แต่งตั้งผู้เป็นเหลน ในความเป็นจริงแล้วจากบิดาสู่บุตรชายถือเป็นการถ่ายทอดซึ่งกันและกันทางสายเลือดที่แท้จริง แต่เกรงว่าจากบรรพบุรุษสู่หลานจะไม่ได้ชอบด้วยเหตุผลเพียงนั้น
“อย่างไรก็ตามไม่นานข้าก็ได้ยินมาว่านายท่านสองตระกูลหยางเสียชีวิตด้วยอาการบาดเจ็บเพราะตกลงมาจากหลังม้า ไม่นานหลังจากนั้นฮูหยินสองก็คลอดบุตร และเสียชีวิตด้วยสาเหตุตกเลือดหลังคลอด ส่วนหวงไท่ซุนเฟยและบุตรชาย ไม่มีข่าวคราวใดเลย ไม่นานหลังจากนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ที่เสียพระโอรสทั้งสามองค์จนล้มประชวรและสิ้นพระชนม์ไป ภายใต้ความเศร้าโศกของผู้คนทั้งแคว้น จ้าวอ๋องก็ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”
ณ จุดนี้ เรื่องราวใกล้จะจบลงแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัยสำคัญบางประการที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “อาจารย์ หวงไท่ซุนเฟยกับบุตรชายอยู่ที่ไหนกันขอรับ”
“เรื่องนี้ตอนนั้นข้าเองก็สงสัยมากเช่นกัน ข้าส่งจดหมายไปถามองค์หญิงใหญ่ แต่พระองค์กลับตอบข้าว่าพวกเขาสองแม่ลูกไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขอให้ข้าลืมการมีอยู่ของพวกเขา แต่ข้าไม่ใช่คนโง่เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ใหม่แต่งตั้งสตรีตระกูลเผยเป็นสนม อีกทั้งยังมีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ”
ตระกูลเผยมีบุตรสาวสองคน คนหนึ่งเป็นหวงไท่ซุนเฟย อีกคนเป็นสะใภ้ขององค์หญิงใหญ่ เมื่อสิ้นไปหนึ่งก็ต้องเหลือเพียงหนึ่ง
และเด็กคนนั้นจะมีสถานะไหนปลอดภัยไปกว่าหลานชายขององค์หญิงใหญ่กัน
เมื่อพูดถึงตรงนี้เป็นครั้งแรกที่หยางชูเปิดปากพูด “อาจารย์กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าบุตรที่ท่านแม่ของข้าให้กำเนิดไม่มีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ”
ท่านแม่ที่เขาพูดถึงคือฮูหยินสองจากตระกูลหยาง
ฟู่จินยิ้ม “ข้าไม่ได้ก้าวเข้ามาในเมืองหลวงมายี่สิบปีจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อได้เห็นหน้าท่านข้าถึงได้รู้ว่าฮูหยินสองและบุตรชายคงเสียชีวิตไปแล้ว”
เขามองหยางชู “หน้าตาของท่านเป็นการผสมผสานระหว่างจุดเด่นของบิดามารดาท่านอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานจึงไม่มีผู้ใดจำหน้าตาของหวงไท่ซุนได้”
หยางชูนึกถึงพ่อมดคนนั้น ตอนนั้นเขารู้จักหน้าตาของหวงไท่ซุนใช่หรือไม่ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายจะเปิดปากตะโกนถึงตัวตนของเขา เผยกุ้ยเฟยจึงตกใจกลัวจนต้องทำเช่นนั้นลงไป
หมายความว่าคนผู้นั้นก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ
เขารู้สึกสับสน ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขารู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นใคร แต่กลับกลายเป็นว่าตนเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นบุตรนอกสมรสของเขา
ช่างเป็นความจริงที่น่าหัวเราะจะให้เขาควบคุมตนเองได้อย่างไร
…………
[1] หวงไท่ซุน : ตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท เมื่อพระโอรสองค์โตในองค์รัชทายาทมีอายุที่เหมาะสม สามารถแต่งตั้งเป็นพระโอรสผู้สืบทอดในองค์รัชทายาทได้ในตำแหน่งหวงไท่ซุน หากองค์รัชทายาทผู้เป็นพระบิดาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระโอรสผู้มีตำแหน่งเป็นหวงไท่ซุนจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทน
[2] แมวสามขา : เอามาใช้เป็นคำอุปมา เปรียบกับคนที่ไม่มีความสามารถเหมือนกับแมวที่มี 3 ขา จับหนูไม่ได้
[3] หวงไท่ซุนเฟย : ตำแหน่งพระชายาเอกในพระนัดดารัชทายาท
[4] หวงไท่ซุน : ตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท ในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อพระโอรสองค์โตในองค์รัชทายาทมีอายุที่เหมาะสม สามารถแต่งตั้งเป็นพระโอรสผู้สืบทอดในองค์รัชทายาทได้ในตำแหน่งหวงไท่ซุน หากองค์รัชทายาทผู้เป็นพระบิดาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระโอรสผู้มีตำแหน่งเป็นหวงไท่ซุนจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทน