คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 358 มงคล
ซูถูได้ยินเสียงร้องของนกอินทรีจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าหลังจากรับสัญญาณจากน่าเจียสีหน้าของซูถูก็มืดมน
“เทพอินทรี…”
ไม่ได้รับพระประสงค์ของทวยเทพ แต่กลับมีเทพอินทรีปรากฏตัว เหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้นี้คืออะไรกัน โหวเหลียงเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเรื่องที่แม่นางหมิงกล่าวมาไม่มีเรื่องนี้นี่! แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้สามารถดึงความสามารถของตนออกมาได้ใช่หรือไม่
เขารีบถามว่า “องค์ชาย เทพอินทรีมีความหมายว่าอะไรหรือ”
คนที่ตอบคำถามเป็นน่าซู “ในตำนานของพวกเราซางหวางเป็นเทพอินทรีที่ลงมาจากสวรรค์ การปรากฏตัวของเทพอินทรีในที่พำนักของเหล่าทวยเทพต้องเป็นซางหวางแน่นอน”
โหวเหลียงเข้าใจได้ในทันทีเมื่อตอนที่จงหยวนมีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์มักจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้น เทพอินทรีในที่พำนักของเหล่าทวยเทพซึ่งแสดงถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ถ้าบอกว่าเป็นซางหวางที่กลับชาติมาเกิดเป็นเทพจริงๆ ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ! กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถูกผู้อื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแซง
ซูถูหันกลับมาพูดว่า “น่าซู เจ้าพาคนไปรอบๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ…”
น่าซูรับคำและนำคนสนิทของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซูถูก็เข้าไปรายงานหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะ
โหวเหลียงเดาในใจว่าต้องมีการลงมือเกิดขึ้นแน่เมื่อไม่ได้รับพระประสงค์ของพระเจ้าก็ต้องใช้กำลังเพื่อรวมเป็นหนึ่งต้องมีปัญหามากมายหลังจากนี้แน่ แต่ก็ดีกว่าตกหลุมพรางของผู้อื่น
โหวเหลียงกังวลมากเขาเพิ่งทำให้ซูถูเชื่อใจตนขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้การแสดงที่ตามมาหลังจากนั้นคงไร้ประโยชน์แล้ว!
แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเขาย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากมองดูซูถูออกมาพูดกับเขาว่า “ท่านพักอยู่ที่นี่เถอะ! เกรงว่าข้าจะต้องไปที่พำนักของทวยเทพ”
โหวเหลียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคำนับ “องค์ชายมีธุระต้องไปจัดการ ตามสบายเลยขอรับ” ซูถูพยักหน้าและนำผู้คนไปยังหุบเขาแสงจันทร์
……….
หมิงเวยดูไม่พอใจและถามเชิ่งชี “พี่ชี เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
เชิ่งชียิ้ม “ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
“จริงหรือ”
“ไม่โกหกแน่นอน”
หมิงเวยเห็นว่าท่าทีของเขาไม่เหมือนคนกำลังโกหกพอคิดดูอีกทีการได้รับพระประสงค์จากทวยเทพโดยตรงง่ายกว่าการปรากฏตัวของเทพอินทรีเสียอีก จริงๆ ไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดเหตุการณ์มากมายขึ้นอีก
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้นแล้วเป็นผู้ใดกันเป็นซูถูที่ไม่ไว้ใจนางจึงได้เตรียมแผนการนี้ขึ้นหรือ มันก็เป็นไปได้ แต่การที่หัวหน้าเผ่าทั้งแปดเข้าไปในหุบเขาด้วยนั้น…มีสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้มากเกินไป
จนถึงตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น เพราะมีเหล่าภิกษุสงฆ์นำทางหัวหน้าเผ่าทั้งแปดจึงมารวมตัวกันต่อหน้าเหล่าทวยเทพ
เทพอินทรีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตกลงบนหินที่อยู่ถัดจากที่พำนักของเหล่าทวยเทพ
เมื่อหมิงเวยมองใกล้ๆ พบว่านกอินทรีตัวนั้นแข็งแกร่งมากมันมีขนาดเท่าครึ่งตัวของคน มีดวงตาแหลมคม อีกทั้งยังมีปีกอันทรงพลัง ทั้งตัวปกคลุมด้วยขนสีดำสนิทมีขนสีขาวแซมที่เท้าเล็กน้อยดูสง่างามมาก
เมื่อมองดูก็พบว่ามีบางอย่างอยู่ที่ขาของเทพอินทรี…
“ดูที่ขาของมัน!” นักบวชที่อยู่ใกล้ๆ ตะโกนขึ้น
……….
สายตาของหัวหน้าเผ่าทั้งแปดกวาดสายตาไปมองทีละคนที่ขาของเทพอินทรีมีหินหยกสี่เหลี่ยมสีเลือดไก่ส่องแสงระยิบระยับในแสงจันทร์
“ตราประทับของพระเจ้า…” หัวหน้าเผ่าท่านหนึ่งพึมพำ
พวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องของซางหวางตั้งแต่เล็ก และรู้ว่าซางหวางมีตราประทับของพระเจ้าซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสมบัติที่พระเจ้ามอบให้แสดงถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เรียกได้ว่าผู้ใดที่ได้รับตราประทับของพระเจ้าคือเจ้าแห่งทุ่งหญ้า!
อย่างไรก็ตามตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของซางหวางตราประทับของพระเจ้านี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว หลายคนรู้ว่ามันอยู่ในที่พำนักของเหล่าทวยเทพ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเคยพบมัน
“นั่นคือตราประทับของพระเจ้าหรือ” หมิงเวยมองเชิ่งชีที่อยู่ข้างกาย “อะไรจะบังเอิญเพียงนั้นเจ้าคะ ท่านบอกว่าซูถูต้องการตราประทับของพระเจ้าดังนั้นมันถึงปรากฏตัวขึ้นงั้นหรือ”
เชิ่งชีเองก็งงงวย “ข้าเองก็ไม่รู้…หรือว่าซูถูจะเป็นบุตรที่ได้รับเลือกจากสวรรค์จริงๆ”
หมิงเวยไม่พอใจ และมองซูถูที่อยู่ด้านล่าง “อะไรกัน! หลอกลวงข้าแล้วยังได้เป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าอีกหรือ ไม่! ข้าจะไม่ยอมให้เขาสมปรารถนา!”
เชิ่งชีหันมามองนาง และพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่อยากให้ตราประทับของพระเจ้าตกอยู่ในมือของเขามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
หมิงเวยคิด “แต่เช่นนั้นจะไม่เป็นการหักหน้าเขาหรือเจ้าคะ”
เชิ่งชีพูด “มีเผ่าฉีหูอยู่แน่นอนว่าช่วยพวกเราขัดขวางได้”
“มีเหตุผล…” หัวหน้าเผ่าทั้งแปดมองดูตราประทับของพระเจ้าที่อยู่ตรงเท้าของเทพอินทรีด้วยสีหน้าละโมบ หากได้ตราประทับของพระเจ้านั้นมาได้ตนก็จะเป็นใหญ่ในทั้งแปดเผ่า! แต่เพราะมีผู้อื่นอยู่ด้วยจึงไม่กล้าทำตัวบุ่มบ่ามไปชั่วขณะหนึ่ง
ทั้งแปดเผ่ามองหน้ากันเองหัวหน้าเผ่าเก๋อซางชิงพูดก่อนว่า “ดูเหมือนว่าซางหวางจะได้เลือกผู้สืบทอดแล้ว! พวกท่านคิดว่าอย่างไร”
เขาหันหน้าไปหัวหน้าเผ่าอีกคนก็คล้อยตาม “ก็จริงเทพอินทรีเป็นร่างจุติของซางหวางเป็นผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ”
หัวหน้าเผ่าเก๋อซางถามอย่างไม่แน่ใจ “ถ้าเช่นนั้นพวกเรา…”
“แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังสวรรค์!” เผ่าเจ๋อหลินที่ค่อนข้างอ่อนแอรีบพูดทันที
หากมีการปะทะกันเขาคงไม่สามารถล้มเผ่าที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าดูที่โชคบางทีเขาอาจจะโชคดีก็เป็นได้
หัวหน้าเผ่าฉีหูแค่นหัวเราะ “ตามกฎของทุ่งหญ้าผู้ใดแข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นจะได้เป็นผู้นำนี่ต่างหากคือพระประสงค์ของเทพเจ้า!”
หัวหน้าเผ่าเก๋อซางรีบพูด “ท่านจะบอกให้พวกเราต่อสู้ต่อหน้าเหล่าทวยเทพหรือ ในเขตของเขาเทียนเสินห้ามมีการใช้กำลังกันกับคนในเผ่าเด็ดขาด นี่เป็นกฎเหล็ก!”
“ข้าพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุดจำเป็นต้องต่อสู้กันค่อยมาพูดหรือ” ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรวดเร็ว
นอกจากเผ่าฉีหูแล้วเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดคือเผ่าเก๋อซาง ไม่กี่ปีมานี้เพื่อแย่งชิงทุ่งหญ้าทั้งสองเผ่าต่อสู้กันมาไม่น้อยเมื่อเห็นตราประทับของพระเจ้าอยู่ตรงหน้าจะไม่ทะเลาะกันได้อย่างไร
ส่วนอีกหกเผ่าต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกให้พวกเขายอมแพ้ แต่หากให้ต่อสู้กันคงเทียบไม่ได้กับอีกสองเผ่าดังนั้นพวกเขาจึงเงียบและไม่พูดอะไร
หลังจากทะเลาะกันครั้งนี้ก็ยังไม่เกิดการต่อสู้เพราะไม่มีผู้ใดมั่นใจได้ว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะ เผ่าทั้งแปดอยู่ที่นี่ตัวแปรมีมากเกินไป
ในท้ายที่สุดตามข้อเสนอของหัวหน้าเผ่าเจ๋อหลินให้ร่างจุติของซางหวางเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง ทั้งแปดเผ่าจ้องไปที่เทพอินทรีเพื่อดูว่าจะบินไปหาผู้ใด
ซูถูยังคงเงียบ
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เขาหาจุดที่น่าสงสัยไม่ได้จริงๆ
เขามองดูทีละคนว่าหัวหน้าทั้งเจ็ดเผ่าจะมีความกระตือรือร้นเหมือนหัวหน้าเผ่าเก๋อซาง และหัวหน้าเผ่าฉีหูหรือรอฉวยโอกาสเหมือนหัวหน้าเผ่าเจ๋อหลินหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดล้วนไม่เหมือนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ หรือ
เป็นไปไม่ได้! ตราประทับของพระเจ้าซางหวางเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาจะไปแขวนอยู่บนเท้าของนกอินทรีได้อย่างไร
หมิงเวยเองก็คิดเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะขโมยตราประทับของพระเจ้าซางหวาง และมอบให้แก่หัวหน้าเผ่าฉีหู หรือคิดขโมยตราประทับของพระเจ้าซางหวางแล้วหลบหนีไป หากเป็นเช่นนั้นละก็เกรงว่าเผ่าทั้งแปดคงจะไล่ตามฆ่านาง
แล้วทำอย่างไรดี…ในขณะที่กำลังใช้ความคิดก็เห็นว่าเทพอินทรีร้องคร่ำครวญและกระพือปีก ท่ามกลางสายตาของคนหลายคนมันก็บินไปหยุดต่อหน้าหัวหน้าเผ่าฉีหู
หัวหน้าเผ่าฉีหูดีใจมาก และกำลังจะหยิบตราประทับของพระเจ้า หัวหน้าเผ่าเก๋อซางร้องตะโกนขึ้นเทพอินทรีตกใจบินหนีไป หลังจากนั้นไม่นานมันก็หยุดอยู่ตรงหน้าหัวหน้าเผ่าเก๋อซาง
หัวหน้าเผ่าฉีหูโกรธจัดและตะโกนขึ้นว่า “ท่านขี้โกง!”
หัวหน้าเผ่าเก๋อซางยิ้มอย่างมีชัย “ผู้ส่งสารต้องคิดไตร่ตรองแปลกตรงไหนกัน” จากนั้นเขาก็ถอดตราประทับของพระเจ้าออกจากขาของมัน
หัวหน้าเผ่าฉีหูโกรธมากจึงทำตามแบบเดียวกันด้วยการตะโกนขึ้นเสียงดัง
เทพอินทรีตกใจบินหนีไปอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นหัวหน้าเผ่าเก๋อซางที่โกรธจัด
หัวหน้าเผ่าอื่นเมื่อเห็นช่องโหว่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้พวกเขาจึงขยิบตาและบอกเป็นนัยไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของตน เกิดความวุ่นวายขึ้นในหุบเขาแสงจันทร์ในชั่วพริบตา
ตอนแรกก็ตะโกนใส่กันจากนั้นก็ทะเลาะกัน ทะเลาะกันไม่เท่าไรก็ชักกระบี่เริ่มต่อสู้กันโดยไม่สนใจข้อห้ามในการใช้กำลังบนเขาเทียนเสิน
หมิงเวยและเชิ่งชีตกตะลึงเหตุใดเผ่าทั้งแปดถึงได้ต่อสู้กันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
……………