คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 360 บ้านเกิด
องค์หญิงหย่งชิงโกรธมากจากนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นในทันที “องค์หญิง บ่าวจะสั่งสอนสตรีผู้นี้เองขอรับ!”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เห็นชายชราเดินออกมาจากความมืดอย่างเงียบๆ คนผู้นี้มีอายุใกล้เคียงกับองค์หญิงหย่งชิงใบหน้าไร้หนวดเครา ตัวบางอ้อนแอ้น ดูเป็นผู้ที่อยู่ใน ‘กฎเกณฑ์’ เป็นอย่างมาก
เขาเป็นขันที และก็เป็นยอดฝีมือด้วย
หมิงเวยยิ้ม “กงกงผู้นี้ท่านแน่ใจหรือว่าสามารถสั่งสอนข้าได้”
ขันทีชราเงยหน้าขึ้นแววตาราวกับงูพิษเขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “แม่นางอย่าดูถูกคนแก่อย่างข้าเกินไป”
หมิงเวยยังคงหัวเราะต่อไป “เอาล่ะ แม้วรยุทธ์ของท่านจะสูง แต่หากพวกเราลงมือเขาวงกตในที่พำนักแห่งนี้จะยังคงรักษาไว้ได้หรือ”
ขันทีเฒ่าชะงัก เสียงขององค์หญิงหย่งชิงดังขึ้น “เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
ซูถูเงยหน้าขึ้นแล้วตอบไปว่า “ท่านย่า นางเป็นผู้ช่วยที่หลานเชิญ…”
ยังไม่ทันพูดจบองค์หญิงหย่งชิงก็ต่อว่ากลับไป “โง่! นางมีที่มาไม่ชัดเจน แต่เจ้าก็เชื่อใจนางแล้วหรือ”
ซูถูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บนโลกนี้มีคนที่สามารถเชื่อถือทุกอย่างได้ที่ไหนกัน ท่านย่าก็เหมือนกันท่านอยากช่วยหรืออยากใช้ประโยชน์จากข้ากันแน่ ก็มิอาจรู้ได้”
ก่อนที่องค์หญิงหย่งชิงจะพูดอะไรขันทีชราได้ตะโกนขึ้นว่า “บังอาจนัก! องค์ชายซูถู องค์หญิงเป็นย่าของท่านนะ!”
ซูถูยังคงนิ่งแล้วพูดต่อไปว่า “แม้แต่บิดาของตนเองข้ายังแย่งชิงอำนาจมาแล้วเลยยังต้องสนใจท่านย่าอีกหรือท่านเพิ่งพูดว่าอยากจะเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้า ต้องถือว่าตัวเองเป็นผู้นำ ในฐานะผู้นำข้าต้องผูกมัดสถานะกับผู้ใดด้วยหรือ”
ขันทีชราโกรธมาก แต่องค์หญิงหย่งชิงกลับหัวเราะออกมาแทน “ใช่ เป็นเช่นนั้น ข้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
ซูถูไม่สะทกสะท้านและพูดอย่างเย็นชา “พูดมาเถอะขอรับท่านเข้ามาในที่พำนักของทวยเทพคิดจะทำอะไรกันแน่ คิดจะช่วยข้าหรือท่านมีเงื่อนไขอะไร”
สายตาขององค์หญิงหย่งชิงจ้องมองไปที่หมิงเวยอีกครั้ง
ซูถูพูด “หากท่านคิดวิธีที่จะปราบนางก็ตามสบาย ถ้าไม่ก็อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย!”
องค์หญิงหย่งชิงชะงัก นางเลิกคิ้ว ที่เขาพูดมาก็ถูกมันไม่ง่ายเลยที่จะทะลวงผ่านเขาวงกตด้านนอกเพื่อเข้ามาในที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์ หากคิดจะไล่นางออกไปคงไม่ง่ายเช่นนั้น
ซูถูถามอีกครั้ง “เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่บ่าวของท่านไม่ได้เอาโลงศพของท่านไปแล้วหรือ”
องค์หญิงหย่งชิงพูด “เรื่องนั้นไม่สำคัญ”
“ถ้าเช่นนั้นอะไรสำคัญหรือ สิ่งที่ท่านจะทำต่างหากที่สำคัญงั้นหรือ”
องค์หญิงหย่งชิงพยักหน้าและถามเขา “เจ้าอยากเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าหรือไม่”
ซูถูตอบอย่างไม่แยแส “เรื่องนี้จำเป็นต้องถามด้วยหรือขอรับ ไม่ว่าวันนี้ท่านจะปรากฏตัวหรือไม่ อย่างไรข้าก็ได้เป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าอยู่ดี” คำตอบของเขาเด็ดขาดทำให้องค์หญิงหย่งชิงยากที่จะทำข้อตกลง
นางเลิกคิ้ว “เจ้ามั่นใจว่าเด็กนี่จะทำให้เจ้าได้รับพระประสงค์จากทวยเทพงั้นหรือ”
ซูถูแค่นหัวเราะ “นางสามารถช่วยข้าได้ในสิ่งที่ต้องการได้แน่นอน หรือหากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร การออกคำสั่งเผ่าทั้งแปดมิได้อาศัยเพียงพระประสงค์ของทวยเทพ แต่เป็นกระบี่ที่อยู่ในมือของนักรบ คนตายมากไปก็ไม่ดี แต่หากต้องตายก็ให้เลือดของนักรบกลายเป็นบัลลังก์แห่งทุ่งหญ้า!”
หลังจากพูดคำเหล่านี้เขาก็มองลงมาที่องค์หญิงหย่งชิง “ท่านอยากยื่นข้อเสนอก็ย่อมได้ แต่อย่าคิดว่าไม่มีการช่วยเหลือจากท่านข้าจะเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าไม่ได้”
“เจ้า…” จิตใจขององค์หญิงหย่งชิงสับสน
ตอนนี้เป็นซูถูที่เร่งเร้านาง “รีบพูดมาเถอะขอรับ! ฟ้าใกล้สว่างแล้วเวลามีไม่มากแล้ว”
ในที่สุดองค์หญิงหย่งชิงก็แน่ใจแล้วว่าซูถูตรงหน้านางไม่ใช่เด็กนอกคอกที่ตัวสั่นเวลาอยู่ต่อหน้านางอีกต่อไปไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมเขา แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ นางไม่มีทางเลือกอื่น หากยอมแพ้จากซูถูด้วยอายุของนางไม่รู้ว่าจะรอถึงตัวเลือกคนต่อไปได้หรือไม่
นางรีบพูดออกไปว่า “ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับตราประทับของพระเจ้าของซางหวาง และขึ้นเป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าอย่างถูกต้อง ข้าจะช่วยเจ้าก่อตั้งราชวงศ์ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนจงหยวน ส่วนเงื่อนไขนั้นสำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน”
“อะไรหรือ”
องค์หญิงหย่งชิงมองเข้าไปในดวงตาของเขา และพูดทีละคำอย่างชัดเจนว่า “กวาดล้างแคว้นฉีกับแคว้นฉู่!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้หมิงเวยร้อง ‘อา’ ออกมาเบาๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง สำหรับองค์หญิงหย่งชิงแล้วนางเกลียดแคว้นฉีกับแคว้นฉู่ที่ทำลายบ้านเกิดของนางดังนั้นถึงได้สนับสนุนซูถูให้บุกทางใต้
แต่ถึงแม้ไม่มีนางราชวงศ์ทุ่งหญ้าอันทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ และการบุกรุกทางใต้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
ซูถูไม่แปลกใจเลยเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “อย่างน้อยสุดภายในสามสิบปีไม่มีทางเป็นไปได้”
หมิงเวยมองเขาอย่างถอนใจ ซูถูเป็นคนใจเย็น ดังนั้นแคว้นฉีเหนือจึงสามารถอยู่อย่างสงบสุขต่อไปได้หลายสิบปี แต่คนฉลาดเช่นเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ หากนางไม่ได้มาจากอนาคตบางทีนางอาจเลือกเขาเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาจริงๆ
ซูถูพูดต่อว่า “เพียงแค่อาศัยกำลังก็อาจก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อราชวงศ์จงหยวนได้ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของพวกเขาได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ราชวงศ์จงหยวนที่พ่ายแพ้แก่ทหารม้าของหูเหรินได้ล่มสลายลงก่อนที่จะมีโอกาสใช้ประโยชน์จากมัน กำลังทหารของเป่ยฉีในตอนนี้แข็งแกร่ง ความเป็นอยู่ของประชาชนเจริญรุ่งเรืองซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะลงใต้เลย สามสิบปีเป็นแค่ช่วงเวลาที่ประมาณการเอาไว้ หากต้องลงใต้จริงๆ อาจจะเป็นห้าสิบปีให้หลังซึ่งท่านคงไม่สามารถรอได้เงื่อนไขนี้ข้าตอบรับได้ แต่คงไม่สามารถทำให้ท่านชมได้”
เป่ยฉีล่มสลายคือหกสิบปีให้หลัง และเขาก็ประมาณเวลาได้แม่นยำจริงๆ
หมิงเวยอยู่ในอารมณ์สับสนนางมองซูถูที่อยู่ตรงหน้า และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะสังหารเขาโดยตรง
แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ไม่อาจขัดขวางได้ด้วยคนผู้เดียว แต่หากสามารถฆ่าคนที่เป็นกุญแจสำคัญได้ก็อาจยืดเวลาได้อีกหลายปี…
องค์หญิงหย่งชิงพูด “ข้ารู้ดีว่าคงไม่สามารถเห็นภาพนั้นได้ ขอเพียงเจ้าสาบานว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะกวาดล้างแคว้นฉีกับแคว้นฉู่ให้เช่นนั้นวันนี้ข้าจะมอบตราประทับของพระเจ้าให้แก่เจ้า”
“เงื่อนไขมีแค่นี้หรือขอรับ” ซูถูถามอีกครั้ง
องค์หญิงหย่งชิงยิ้มอย่างหดหู่ “เท้าข้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในโลงศพแล้ว ยังต้องการอะไรอีก ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์มั่งคั่งเพียงใดก็แค่เคยเพลิดเพลินไปกับมัน แต่ความเกลียดชังต่อบ้านเกิดทำให้ข้าไม่อาจหลับตาลงได้”
นางพูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ “ความเกลียดชังต่อบ้านเกิดงั้นหรือ” ซึ่งเต็มไปด้วยการเสียดสีประชดประชัน
องค์หญิงหย่งชิงมองหมิงเวย และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหัวเราะอะไร”
“ข้าหัวเราะที่ท่านหลอกตนเอง” หมิงเวยมองนางด้วยความเห็นใจ “องค์หญิงมีความเกลียดชังต่อบ้านเกิดด้วยหรือ เอี้ยนโม่ตี้ส่งท่านไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเป่ยหู ตอนนั้นท่านอายุสิบกว่าปีซึ่งหัวหน้าเผ่าอินทรีเรียกได้ว่าสามารถเป็นปู่ท่านได้เลย พูดตามตรงก็คือเอี้ยนโม่ตี้นำบุตรสาวของตนเป็นของขวัญเพื่อติดสินบนหัวหน้าเผ่าอินทรีโดยหวังว่าเขาจะไม่สร้างปัญหาในช่วงเวลาสำคัญ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็เปลี่ยนเฉียนเอี้ยนล่มสลายเพราะไร้คุณธรรมและเสียสละบุตรสาว ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนได้ราชวงศ์เช่นนี้มีอะไรให้เกลียดชังกัน”
………….