คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 392 ปลอบใจ
อาหว่านอารมณ์เสีย หยางชูรู้และต้องการปลอบใจนาง แต่อาหว่านกลับไม่สนใจเขาเลย เขาอยากจะเปิดบทสนทนาอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จสักที
หมิงเวยถามเขา “นางโกรธข้าหรือเจ้าคะ”
หยางชูไม่เข้าใจ “นางจะโกรธท่านทำไมกัน”
หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไรเพียงถามเขาไปว่า “อาหว่านเป็นบุตรสาวของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่”
หยางชูพยักหน้าเรื่องนี้เขาไม่คิดที่จะปิดบังหมิงเวยอยู่แล้วเพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปเป็นทางการ
“หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องตายไปสิบปีแล้วนางอยู่กับท่านมาสิบปีแล้วหรือ”
“อืม..” หยางชูตอบ “ปีนั้นครอบครัวของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเสียชีวิต ท่านย่าไปช่วยอาหว่านได้ทัน ท่านไม่วางใจที่จะส่งอาหว่านไปที่อื่นจึงให้นางมาอยู่ข้างกายข้าในฐานะสาวใช้ คอยดูแลเป็นครั้งคราว”
หมิงเวยถอนหายใจ “นางคงลำบากมาก”
หยางชูกระซิบ “ในตอนที่ทั้งครอบครัวเสียชีวิตนางเพิ่งมีอายุหกปี ถึงแม้หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องสมควรได้รับโทษ แต่ครอบครัวของเขาผิดอะไรงั้นหรือ อาหว่านในตอนนั้นยังไม่รู้ความ แต่จู่ๆ ฟ้าก็ถล่ม ไร้บิดามารดา แม้แต่พี่น้องก็ไม่ได้พบนางอยู่กับฝันร้ายเป็นเวลานานถึงค่อยๆ ดีขึ้น”
“เรื่องเหล่านี้นางจำได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมจำได้” หยางชูชะงัก “แต่นางรู้ความหนักเบาของเรื่องนี้ดีจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้อยู่ตลอด ทำแค่ในสิ่งที่สาวใช้ควรทำ นางอยากเรียนวรยุทธ์ วิชาการแพทย์ ข้าไม่เคยห้ามปล่อยให้นางเรียนรู้ให้มากที่สุด นางสูญเสียพี่น้องเช่นนั้นจึงต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์จึงทำให้นางรู้สึกสบายใจ”
หมิงเวยพยักหน้านางเข้าใจสถานการณ์ของอาหว่านดีในใจของนางหวาดกลัว แม้ว่าองค์หญิงใหญ่กับหยางชูจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่เงามืดในใจก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้นางจึงพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ เช่นนั้นจึงจะทำให้นางมีความมั่นใจในการพึ่งพาพวกเขา
“หลังท่านย่าจากไปนางจึงเป็นญาติเพียงผู้เดียวของข้าหากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนนี้นางคงเป็นเสี้ยนจู่ผู้สูงศักดิ์นางจะทำงานเป็นสาวใช้อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไรเอาแต่นั่งกังวลว่าตนเองไร้ประโยชน์ ข้าเลยคิดว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่ตราบใดที่ข้ามีความสามารถข้าจะพยายามปกป้องนางให้ดีที่สุด ชีวิตนี้นางคงไม่อาจจากข้าไปออกเรือนได้หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับข้านางคงลำบาก เช่นนั้นจึงปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจข้าทำได้แค่ให้อิสระกับนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
หมิงเวยพยักหน้านางเข้าใจดี หลังจากศิษย์น้องเสียชีวิตนางเสียใจมาก เหตุใดตอนนั้นนางไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ดีกว่านี้หากย้อนเวลากลับไปได้นางจะปกป้องเขาอย่างแน่นอน “แต่มีบางเรื่องที่หากท่านพูดออกมาคงไม่สะดวกใจนัก”
หยางชูไม่เข้าใจ “เรื่องอะไรหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ข้าจะไปปลอบนางเองเจ้าค่ะ” เด็กคนนั้นอารมณ์ร้ายการเพิกเฉยจะยิ่งทำให้นางโกรธมากขึ้นไปอีก
คืนนั้นหมิงเวยพบอาหว่านบนหลังคา “เจ้าจะโกรธไปถึงเมื่อไรหรือ”
อาหว่านแค่นหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่น หมิงเวยหยิบกรรไกรออกมา และค่อยๆ ตัดเล็บของตนเอง “เจ้าไม่สนใจข้า ข้ารับประกันว่าหลังจากนี้จะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าอีก”
“…” อาหว่านหันกลับมาอย่างโกรธจัด “มาสนใจข้าทำไมกันข้าไม่ได้ขอร้องท่านสักหน่อย!”
หมิงเวยเหลือบมองนางแล้วตัดแต่งเล็บต่อ “มองหน้าเจ้าก็เห็นคำว่า ‘ไม่สนใจข้าจะโกรธ’ เขียนอยู่บนหน้าเจ้าแล้ว”
“ข้า…”
หมิงเวยพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะบอกเจ้าว่าความโกรธเคืองมีขีดจำกัดแม้แต่เด็กยังร้องไห้เรียกร้องความสนใจขนาดก่อเรื่องยังทำให้คนรำคาญเลยเข้าใจหรือไม่”
จู่ๆ อาหว่านก็รู้สึกประหม่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร คุณชาย…”
หมิงเวยยิ้มปลอบใจ “ไม่มีอะไร ตอนนี้เขาไม่ได้โกรธเจ้าหรอก”
อาหว่านรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็ยังประหม่าอยู่ ตอนนี้ยังไม่โกรธ แต่ต่อไปเขาอาจจะโกรธก็เป็นได้
หมิงเวยตบที่ว่างข้างกาย “มานั่งคุยกันเถอะ”
อาหว่านมองนางอย่างระแวดระวัง “ท่านคิดจะพูดอะไรกันแน่”
“ควรเป็นข้าต่างหากที่ถามเจ้า” หมิงเวยพูด “เจ้าโกรธเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอยู่แล้วใช่หรือไม่ หากเจ้าไม่พูดออกมาผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร ผู้อื่นไม่รู้ เจ้าผู้เดียวโกรธมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าอารมณ์เสียเพื่อให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเจ้าไม่ใช่เพื่อทำให้ตัวเองขุ่นเคือง ดังนั้นเจ้าต้องใส่ใจกับทักษะเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถึงเวลาหยุดก็ควรหยุดได้แล้ว”
“….”
หมิงเวยถามนางอีกครั้ง “เจ้าโกรธข้าใช่หรือไม่”
ครั้งนี้อาหว่านไม่ได้ปฏิเสธนางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ท่านรู้ก็ดี”
“โกรธข้าทำไมหรือ เจ้าไม่ชอบที่ข้ากับคุณชายของเจ้าอยู่ด้วยกันหวังว่าจะไม่มีสตรีอื่นอยู่ข้างกายเขาหรือ”
อาหว่านพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านเห็นข้าเป็นคนเช่นไรกันคุณชายอายุเท่านี้แล้วข้างกายเขามีสตรีอยู่เสมอ”
หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่ได้ต่อต้านการมีสตรีอยู่ข้างกายเขา แต่เป็นเพราะเจ้าเกลียดข้าหรือ” อาหว่านไม่ตอบ
หมิงเวยพูดว่า “หากเจ้าพลาดโอกาสนี้หลังจากนี้ไปต่อให้เจ้าโกรธเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดมาถามเจ้าแล้วนะ”
ในที่สุดอาหว่านก็เปิดปากตอบอย่างไม่เต็มใจ “อืม..”
“ดีมาก เจ้าเกลียดข้าด้วยเหตุใดกันมีเหตุผลหรือไม่”
“ท่านไม่รู้หรือว่าตนเองถูกเกลียดด้วยเหตุใด” อาหว่านพูดด้วยความคับข้องใจ “ท่านทำเช่นนั้นกับคุณชาย แต่ยังไม่ได้ถอนหมั้น คุณชายอาจไม่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ข้ารู้สึกแทนเขา!”
“ผิดแล้ว”
อาหว่านอึ้งไปครู่หนึ่ง “ผิดตรงไหนกัน”
หมิงเวยอธิบายแต่โดยดี “เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก”
“….”
“แต่เจ้าก็เห็นว่าถึงเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เขาก็ยอมรับ เจ้ารู้สึกแทนเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน เจ้าต้องรู้ว่ามีบางสิ่งที่โกรธเพียงใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทำได้เพียงโน้มน้าวตัวเองให้ยอมรับได้เท่านั้น”
อาหว่านถูกนางปลอบจนแทบร้องไห้ “ทำไมท่านถึงเป็นคนเช่นนี้!”
พูดจาไพเราะปลอบใจผู้อื่นอย่างเช่นทำให้นางเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง ขอร้องให้นางเข้าใจปัญหาของตนเอง สตรีผู้นี้ยังคงโยนประโยคเช่นนั้นออกไป
อย่าคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะมันไม่มีประโยชน์ อำนาจจะครอบงำเราจนเราไม่สามารถต้านทานได้ และเชื่อฟังอย่างดี
นี่เรียกว่าเป็นการปลอบใจหรือ..แน่ใจใช่หรือไม่ว่าไม่ได้มาเพื่อยั่วอารมณ์นาง
หมิงเวยไหวไหล่ “ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
ใช่! มันก็ถูก อาหว่านรู้สึกว่าตนเองโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
“เอาล่ะ!” ในที่สุดหมิงเวยก็เห็นว่าตนได้พูดมาพอสมควรแล้ว “อย่าโกรธไปเลย เจ้าโกรธเช่นนี้เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือ เป็นครอบครัวเดียวกันอย่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดเช่นนี้เลย มีอะไรก็พูดกันดีๆ พวกเจ้าไม่มีญาติที่อื่นอีกแล้วต้องพึ่งพาอาศัยกันอารมณ์เสียเช่นนี้จะไปช่วยอะไรได้” อาหว่านที่ได้ยินคำพูดของนางก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
พูดได้ดี…
จากนั้นก็ได้ยินนางพูดว่า “ข้าไม่สามารถอยู่กับเขาได้นานเกินไป สุดท้ายแล้วผู้ที่อยู่ข้างกายเขาก็คือเจ้า ญาติกับคนรัก แม้ว่าคนรักจะใกล้ชิดกันมากขึ้นแต่ญาติมักจะมีความสัมพันธ์กันยาวกว่าเพราะฉะนั้นแล้วอย่าโกรธไปเลย เจ้าคือญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเขา”
อาหว่านตกใจแล้วหันหน้าไปมองนาง “ท่านหมายความว่าอย่างไรท่านแค่ทำไปเพื่อความสนุกหรือพอได้แล้วจะทิ้งขว้างงั้นหรือ”
นางยิ่งพูดยิ่งโกรธ “เหตุใดท่านถึงเป็นคนเช่นนี้คุณชายชอบท่านถึงเพียงนั้น ท่านมีความคิดจะทิ้งเขานานเพียงใดแล้ว”
หมิงเวยไม่อธิบายอะไรนางลุกขึ้นยืนแล้วลูบหัวเด็กสาวอย่างเอ็นดู “ใช่! ดังนั้นจะมาแข่งกับข้าทำไมกัน อย่างไรข้าก็แค่คนผ่านมาสถานะอะไรนั่นเอาไว้ให้พี่สะใภ้ที่แท้จริงของเจ้าจะดีกว่า”
……………