คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 394 ละเอียดอ่อน
ข่าวเรื่องคุณชายตระกูลจงคุมตัวหนิงซิวกระจายไปทั่วสนามเลี้ยงม้าในวันรุ่งขึ้น พ่อค้าที่อยู่นอกเมืองล้วนได้ยินข่าวนี้พวกเขามารวมตัวกันและพูดคุยกัน
“ได้ยินว่าท่านหนิงออกเดินทางครั้งนี้ถูกตระกูลจงจับตัวไปงั้นหรือ”
“พี่ชาย ข่าวของท่านช้าจริงๆ พวกเราทุกคนได้ยินเรื่องนี้แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เหตุใดตระกูลจงต้องจับตัวท่านหนิงด้วย”
“ได้ยินมาว่าเป็นเพราะความขัดแย้งเรื่องการปราบปรามกลุ่มโจร ตระกูลจงบอกว่าท่านหนิงล้ำเส้นไปแล้ว”
พ่อค้าที่ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาไม่พอใจ “ผู้ที่ท่านหนิงปราบปรามคือพวกโจรมันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยมิใช่หรือ พวกเขาเรื่องเยอะเกินไปหรือไม่”
พ่อค้าเจ้าเล่ห์อีกคนพูดว่า “จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ทางนั้นเป็นเขตของตระกูลจง จู่ๆ นำทหารไปพวกเขาคงตื่นตระหนก”
“ผู้ใดใช้ให้พวกเขาไม่จริงจังกับการปราบปรามโจรก่อนเล่า หากพวกเขาปราบปรามพวกโจรบนเขาเหยียนซานไปก่อนหน้านี้เรียบร้อย คุณชายของพวกเราก็ไม่ต้องดำเนินการท่านหนิงจะไปที่ใดก็ได้”
“บางทีอาจมีเรื่องที่ยากที่จะจัดการ” พ่อค้าอีกคนหนึ่งพูดอย่างคลุมเครือไม่กล้าชี้แจง
พ่อค้าคนก่อนหน้ากลับพูดโพล่งออกไปกลางวงด้วยความโกรธ “แต่ก่อนไม่เห็นออกแรงพอคุณชายมาเปิดเส้นทางการค้าพวกตระกูลจงจึงต้องการใช้ประโยชน์จากมัน!”
พ่อค้าเจ้าเล่ห์พูดว่า “อย่าพูดเช่นนั้นเลยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตระกูลจงที่จะปกป้องชายแดนเพื่อปกป้องอาณาจักรเป็นเวลาหลายปี”
“มีอะไรพูดไม่ได้กันเล่า” พ่อค้าผู้นั้นกำเริบเสิบสานกว่าเดิม “พวกเราวิ่งในซีเป่ยตลอดทั้งปีทุกคนต่างรู้คำตอบอยู่แก่ใจ ตระกูลจงเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ แต่เขาได้รับผลประโยชน์มากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา! ฝ่าบาทให้คำชมเชยเป็นครั้งคราวทุกปีแค่นี้ยังไม่เพียงพอหรือ เป็นเพราะตนเองมีความดีความชอบถึงรังแกผู้อื่นได้หรือ การที่พวกเขาเย่อหยิ่งไม่ใช่วันสองวันแล้ว…”
“เอ่อ ก็จริง…” พ่อค้าผู้นั้นยังไม่สะใจคุยกับคนนี้เสร็จก็ไปคุยกับผู้อื่นต่อ
ส่งผลให้ข่าวกระจายไปทั่วทั้งตลาดอย่างรวดเร็วพวกพ่อค้ากระจายตัวไปทั้งเหนือใต้เชื่อว่าในไม่ช้าข่าวนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งซีเป่ย หรือแม้กระทั่งในเมืองหลวง
ในตอนค่ำพ่อค้าคนนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินตามบ่าวรับใช้ผ่านประตูข้างเข้ามาในเมือง และตรงไปยังจวนเจ้าเมือง
เมื่อเห็นหยางชูและหมิงเวยเขาก็ดึงใบหน้าปลอมออกเผยให้เห็นใบหน้าของโหวเหลียง เขาก้าวเข้าไปหาเพื่อขอรับความดีความชอบ
“คุณชาย แม่นางหมิง ข้าน้อยปฏิบัติภารกิจลุล่วงแล้วหลังจากวันนี้ข่าวการรังแกของตระกูลจงจะแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า คุณชายสามารถเดินทางไปเพื่อขอคำอธิบายได้เลยขอรับ!”
หยางชูหันหน้าไปสั่งการ “อาสวน พรุ่งนี้เตรียมออกเดินทาง”
“ขอรับ”
การพบตระกูลจงเป็นเรื่องที่ปิดบังไม่ได้อยู่แล้วหยางชูรู้ดีว่าตระกูลจงเป็นเป้าหมายหลักของหวงเฉิงซือ เมื่อเขาไปพบตระกูลจงแล้วสายลับจะรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทแน่นอน
ในเมื่อไม่มีทางพบเจอแบบเงียบๆ ได้เช่นนั้นก็ทำให้มันเอิกเกริกไปเลยก็แล้วกัน ด้วยวิธีนี้การกระทำของพวกเขาเชื่อมต่อกันอย่างสมเหตุสมผล
ก่อนหน้านี้หยางชูถูกลดขั้นและถูกส่งมาเกาถาง ด้วยนิสัยของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อสะดวกสบายจึงเชิญพ่อค้าจำนวนมากมาที่เกาถางเพราะมีกลุ่มโจรมากมายบนเขาเหยียนซานทำให้พ่อค้าไม่สามารถเดินทางมาที่นี่ได้เขาจึงเริ่มปราบปรามกลุ่มโจร
เมื่อตระกูลจงค้นพบเส้นทางแห่งความมั่งคั่งนี้จึงลงมือปราบปรามกลุ่มโจรด้วย เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างพวกเขาตระกูลจงจึงคุมตัวคนของคุณชายหยางซึ่งทำให้คุณชายหยางโกรธมากจนต้องเดินทางมาเพื่อขอคำอธิบาย…
เหตุผลมากมายเพียงนี้หากไม่เดินทางไปขอคำอธิบายคงไม่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณชายหยาง ตอนอยู่เมืองหลวงเขาเคยลำบากด้วยหรือ แม้จะถูกลดขั้นและถูกส่งมาซีเป่ย แต่ตระกูลจงหากอยากจะเหยียบย่ำก็เหยียบได้งั้นหรือ
วันรุ่งขึ้นหยางชูเตรียมคนและม้าจากนั้นก็รีบเดินทางไปไป๋เหมินเซี่ยทันที
เนื่องจากมีข่าวหลุดออกมาล่วงหน้าเหล่าพ่อค้านอกเมืองจึงมีความคิดเช่นนี้
พวกเขามีศัตรูคู่แค้นร่วมกันจึงหวังว่าคุณชายหยางจะสามารถกดตระกูลจงลงได้ ในเมื่อต้องปกป้องแผ่นดินก็ควรเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ และแม่ทัพที่ดีจะมาทำเงินส่วนนี้ได้อย่างไร
สำหรับบางคนแล้วความต้องการทางศีลธรรมของประชาชนมักจะสูงกว่า หากพวกเขาทำผิดพลาดพวกเขาจะตกเป็นเป้าหมาย
ในทางตรงกันข้ามคุณชายหยางผู้นี้สมควรได้รับเงินจำนวนมากซึ่งไม่นับว่าเป็นจุดอ่อนอะไรเลย ตรงกันข้ามพวกเขาไม่ได้กดขี่พ่อค้าซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบของความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
มนุษย์บางครั้งก็ทำตัวไม่ดี
……….
เกาถางอยู่ไม่ไกลจากไป๋เหมินเซี่ยเดินทางไม่กี่วันพวกเขาก็เข้าสู่อาณาเขตของตระกูลจง การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ตระกูลจงจะไม่รู้ถึงข่าวลือได้อย่างไร
เมื่อพวกเขาเข้าไปในอาณาเขตของไป๋เหมินเซี่ยก็มองเห็นธงของตระกูลจง
คนมากกว่าร้อยที่มีผู้ติดตามร่างกายกำยำคุ้มกันอารักขาสวมเกราะสีแจ่มชัดเดินมาด้วยแผ่นหลังตั้งตรง
หยางชูที่นั่งอยู่ในรถม้าออกความเห็นว่า “น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งไม่แปลกใจเลยที่มีข่าวลือจากประชาชนซีเป่ยที่ว่าตระกูลจงเป็นพวกเย่อหยิ่ง”
“นี่คือวิธีการเอาชนะตนเองของพวกเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ” หมิงเวยถาม
รอยยิ้มของหยางชูนั้นดูน่าขันเล็กน้อย “แม่ทัพปกป้องชายแดนมีอำนาจทหารอยู่ในมือหากยังเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมก็ดูน่ากลัวไปหน่อย”
หมิงเวยแตะคางอย่างครุ่นคิด “ข้ายิ่งสงสัยพวกเขารู้จักป้องกันตนเอง เหตุใดต้องเสี่ยงล่อพวกเราเข้ามาหาด้วยจากสถานะผิวเผินของท่านมันคุ้มค่าแล้วหรือที่ตระกูลจงคิดทำเช่นนี้”
ตลอดทั้งปีจากเดิมที่เฉยเมยสู่การออกปราบปรามกลุ่มโจรเพื่อรอโอกาสนี้หรือ พวกเขาใช้ความคิดไปไม่น้อยเลย! ดูจากภายนอกหยางชูเป็นแค่คุณชายจากตระกูลโหวเป็นหลานขององค์หญิงหมิงเฉิง
แม้ว่าจะมีความคิดไปอีกระดับก็แค่เป็นการสงสัยว่าอาจเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้หรือไม่
ปัจจุบันฮ่องเต้มีโอรสที่มีชีวิตอยู่สามพระองค์พวกเขาต้องการเอาใจบุตรนอกสมรสที่ไม่ได้รับการบันทึกไว้ที่แผนภูมิหยกประจำราชวงศ์งั้นหรือ หากตระกูลจงมีปัญหาเรื่องนี้จะอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร “ท่านสงสัยว่าพวกเขาจะรู้เรื่องราวภายในงั้นหรือ”
หมิงเวยส่ายหน้า “ยากที่จะบอกได้เจ้าค่ะ ผู้ที่รู้ชาติกำเนิดของท่านมีไม่มากนัก”
หยางชูเองก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน แต่ทำไมพอคิดแล้วรู้สึกว่าตระกูลจงไม่น่ารู้ความลับนี้ ไท่จื่อองค์ก่อนไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างใกล้ชิดองค์หญิงใหญ่เองก็ไม่เคยพูดถึง
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันคนของตระกูลจงเดินเข้ามาใกล้แล้วตะโกนขึ้นว่า
“หยุดก่อน! พวกเจ้าเป็นทหารกองไหนมีคำสั่งย้ายหรือไม่”
หยางชูหัวเราะเบาๆ ‘แสดงอำนาจกดข่ม’ ได้เหมือนจริงๆ
คำสั่งย้ายกองทหารอะไรกันกลุ่มคนเพียงแค่สิบกว่าคนแค่มองก็รู้ว่าเป็นองครักษ์จะมีคำสั่งย้ายอะไรได้
อาสวนเข้ามาเจรจา “คุณชายของพวกเราเป็นหลานชายขององค์หญิงหมิงเฉิง ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลสนามเลี้ยงม้าเกาถางเดินทางมาเพื่อเข้าพบแม่ทัพจง!”
“จริงหรือ” อีกฝ่ายดูไม่เป็นมิตร “ในเมื่อไม่ใช่กองทัพเหตุใดต้องสวมเกราะเต็มตัวด้วยพวกท่านมาเป็นแขกบ้านคนอื่น หรือมายั่วยุกันแน่”
อาสวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยามคุณชายเข้าพบฝ่าบาทก็เดินทางเข้าวังเช่นนี้รูปแบบของแม่ทัพจงยิ่งใหญ่กว่าของฝ่าบาทงั้นหรือ”
คำถามนี้อีกฝ่ายไม่กล้าตอบจึงชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านพูดถึงประตูวัง หากไม่ถอดเกราะย่อมได้ถ้าเช่นนั้นก็ส่งท่านเสียตรงนี้!”
เมื่อชักกระบี่ออกมาทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ในขณะนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากรถม้าที่ถูกคุ้มกันอยู่ “แม่ทัพจงบีบบังคับกันมากไปหรือไม่ ข้าสามารถปลดกระบี่ได้ก็ต่อเมื่อเข้าพบฝ่าบาท ไม่คิดว่ากฎของแม่ทัพจงไม่ต่างไปจากวังหลวงเลย มิน่าบางคนถึงกล่าวว่าฝ่าบาทประทานตำแหน่งกั๋วกงให้แม่ทัพจงนั้นด้อยเกินไป ต้องประทานตำแหน่งเจ้าเมืองซีเป่ยต่างหากถึงจะถูก!”
………….