คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 407 จริงเท็จ
การสืบราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องตลก สายเลือดของราชวงศ์ไม่อนุญาตให้เกิดความไม่ชัดเจน ถึงตอนเกิดจะมีขุนนางฝ่ายในอยู่ด้วย แต่ก็ต้องถูกบันทึกไว้ที่แผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ถึงจะมีคุณสมบัติ
ถึงหยางชูจะเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่ใช่สมาชิกในราชวงศ์
และการที่บุตรนอกสมรสจะถูกบันทึกชื่อในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์เป็นเรื่องที่ยากมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่บุตรนอกสมรส แต่เป็นสายเลือดของไท่จื่อองค์ก่อน ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมรับสถานะของเขาแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งความปรารถนาของหยางชูในตำแหน่งนั้นไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นจริงได้
เขาไม่ใช่สายเลือดโดยตรงไม่มีสิทธิ์สืบทอดต่อ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะยึดตำแหน่งได้นั่นคือการกบฏ แต่ตระกูลจงจะก่อกบฏกับเขาหรือ ไม่แน่นอน
พวกเขาปกป้องชายแดนมาสามชั่วอายุคนบุรุษในตระกูลเกือบทั้งหมดไม่ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา แต่ล้วนเสียชีวิตในสนามรบ คนซื่อสัตย์เช่นนี้เหตุใดต้องติดตามหยางชูที่ไม่มีสถานะอะไรที่ชัดเจนเพื่อก่อกบฏด้วย
หากทำจริงๆ ชื่อเสียงที่ใช้เลือดของชายผู้เสียสละจากหลายชั่วอายุคนได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์เป็นแน่
จงรุ่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดบิดาถึงพูดเช่นนี้ นี่เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องเลือกใดๆ และหยางชูก็ไม่ต้องพูดถึงมันด้วยซ้ำ เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าตระกูลจงจะถือข้างเขา
จงซู่ถอนหายใจ บุตรชายคนโตของเขาเป็นแม่ทัพผู้ดุดันสังหารศัตรูด้วยความกล้าหาญ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ทางการเมืองเขายังขาดความเฉียบขาด
มนุษย์จะมีความสมบูรณ์แบบได้อย่างไรจงซู่ยังคงพอใจกับบุตรชายคนโตมาก ท้ายที่สุดตระกูลจงอาศัยความสามารถในการต่อสู้เรื่องอื่นสามารถสอนได้
“เป็นวิธีที่ดีในการแก้ปัญหาอนาคต” จงซู่กล่าวอย่างใจเย็น “แต่หากทำเช่นนั้นพวกเราจะเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษได้อย่างไร ภักดีต่อบ้านเมือง ปกป้องประชาชนเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเรากล่าวไว้ ตอนนี้ชัดแล้วว่าเขาเป็นสายเลือดของไท่จื่อองค์ก่อนไม่มีความผิดอะไร เพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลหากฆ่าเขาตาย ต่อไปเราจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร สังหารสายเลือดของไท่จื่อด้วยเหตุผลส่วนตัวเป็นการไม่จงรักภักดี ลงโทษทั้งที่ไม่มีความผิด นับประสาอะไรกับการปกป้องประชาชน ตราบใดที่เราทำเรื่องนี้ความศรัทธาของตระกูลจงก็จะถูกทำลาย”
จงรุ่ยพูด “ลูกไม่ได้หมายถึงฆ่าเขาเพียงแค่…”
“ไม่ฆ่าเขาแล้วพวกเราจะทำอะไรได้อีก พวกเราควรรายงานเรื่องสำคัญนี้ต่อฝ่าบาทงั้นหรือ หากรายงานมันต่างอะไรจากการฆ่าเขาหากไม่รายงานกลายเป็นว่าเราสมรู้ร่วมคิดกับเขาด้วยหรือ กุมความลับเหมือนเดิมหรือพูดความลับที่อาจทำให้เกิดการค้นจวนยึดทรัพย์ออกไป อนาคตเราจะถูกเขาควบคุมไม่เท่ากับว่าพวกเราเลือกข้างเขาหรอกหรือ”
จงรุ่ยส่ายหน้า “ท่านพ่อเหตุใดท่านต้องคิดมากเช่นนั้นด้วย ลูกไม่มีความคิดที่จะฆ่าเขา แต่เขาเอาเรื่องนี้มาขู่พวกเราซึ่งเป็นไปไม่ได้ การไม่ลงมือกับเขาแสดงว่าเราซื่อสัตย์ต่อศรัทธาของตนเอง หากเขาต้องการทำเช่นนั้นมันก็เรื่องของเขา และหากเขาเอาเรื่องนี้มาขู่เราไม่ว่าเขาจะมาวิธีไหนพวกเราก็สามารถรับมือได้
เรื่องในครั้งนี้ทำให้ลูกได้เข้าใจการพยายามปกปิดความผิดพลาดจะทำให้เราทำผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ หากเรื่องใหญ่เกินที่จะรับไหวพวกเราก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษจากฝ่าบาท! พวกเราไม่ต้องละอายใจต้องมีใครสักคนที่เต็มใจให้เหตุผลแทนพวกเรา!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้จงซู่ตกตะลึงในแง่ของการเมืองเพียงอย่างเดียวเขาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่ความจริงในเรื่องนี้ทำให้เขาได้ลิ้มรสมันครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ใช่เพราะตระกูลจงซื่อตรง และไร้เดียงสาถึงทำให้พวกเขาสามารถยืนหยัดได้สามชั่วอายุคนหรอกหรือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับฮ่องเต้พวกเขาจึงทำให้ตนเองมีชื่อเสียงที่ไม่ดี แต่นอกเหนือจากนั้นพวกเขาเคยใช้วิธีการทางการเมืองอะไรด้วยหรือ หากพวกเขาต้องการรู้ความคิดของฮ่องเต้พวกเขายังจะสู้รบได้ดีหรือ
จงซู่ยังคงคิดหยางชูกลับปรบมือ และกล่าวชื่นชมเขา “คำพูดของคุณชายจงทำให้ข้าเห็นมุมมองที่ต่างออกไป แม่ทัพจงข้าบอกไม่ได้ว่าไม่มีความคิดอะไร แต่ท่านก็คิดมากเกินไปจริงๆ ข้าไม่ได้อยากมีมากเพียงนั้น และไม่คิดจะยึดกองทัพซีเป่ยด้วย”
จงซู่เลิกคิ้ว “แล้วคุณชายหยางพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร”
หยางชูยิ้ม “ข้าแค่ต้องการให้แม่ทัพจงเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน หากท่านไม่ฆ่าข้า พวกเราต้องแบ่งปันความลับกัน สำหรับความกังวลของท่านตอนนี้ข้าแค่พยายามเอาตัวให้รอดจะคิดฉวยโอกาสจากพวกท่านได้อย่างไร”
“ท่านไม่ได้จะขู่พวกเราหรือ”
หยางชูยิ้ม “ขู่ให้พวกท่านทำอะไรให้พวกท่านช่วยข้าก่อกบฏหรือ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็เป็นโจรกบฏแล้ว”
“ท่านไม่อยาก…”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกท่านคิดอย่างไร” หยางชูถอนหายใจ “ถึงแม้สถานะของข้าจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์อีกอย่างท่านพ่อของข้าเสียไปแล้ว สายเลือดที่แท้จริงจะเทียบกับสายเลือดในตอนนี้ได้อย่างไร เรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้จะคิดให้มันมากไปทำไมกัน”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ท่าน…”
“คนแซ่หลินนั่นคิดว่าทายาทของฉินอ๋องและจิ้นอ๋องต้องการกบฏ ข้าเลยต้องการกบฏบ้างหรือ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันมากเกินไป ไม่เคยเห็นพวกเขาถูกฝังไปทีละคนหรือ ข้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหตุใดต้องไปลำบากกับเรื่องที่ไม่อิสระเช่นนั้นด้วย”
“นั่น…”
หยางชูพูดอย่างขมขื่น “พวกท่านไม่เห็นสถานการณ์ของข้าหรือ ก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินเหลียงจางจนทำให้เขาขุ่นเคือง ทุ่งหญ้าเกิดความวุ่นวายเพียงนั้น ผู้นำเผ่าหูไม่ส่งคนมาสังหารพวกข้าก็นับว่าดีแล้ว ในราชสำนักไม่มีผู้ใด ตระกูลหยางกับข้าก็ไม่ได้สนิทสนมกัน ตระกูลเผยไม่สนใจข้า กับผู้อาวุโสบางท่านก็ไม่ได้เรียกว่าสนิทสนม พวกท่านก็เห็นว่าข้าไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยแล้วจะเอาอะไรไปกบฏกัน ท่านน้าทั้งสองของข้าก็ยังมีตำแหน่งอยู่นับประสาอะไรกับข้ากัน”
สองพ่อลูกตระกูลจงคิดตามดูเหมือนว่า…จะมีเหตุผล
“ก่อนหน้านี้ข้าพูดเช่นนั้นไปเพราะคำพูดที่ว่าถอยออกมาก่อนเพื่อเอาตัวรอดของแม่ทัพจง แค่เกรงว่าพวกท่านจะเอาศีรษะข้าไปแลกกับความไว้ใจของคนผู้นั้น เช่นนั้นข้าจะเสียเปรียบอย่างมากจึงใช้คำพูดนี้สกัดท่านไว้ก่อนเพื่อให้พวกท่านมอบความเมตตาช่วยข้าปกปิดเรื่องนี้ด้วย เช่นนั้นแม้ว่าคนของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องจะเล่นกลอุบายข้าก็จะไม่อยู่ตัวคนเดียว เช่นนั้นแม่ทัพจงคำขอนี้ของข้าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของท่านใช่หรือไม่”
จงซู่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน และพยักหน้าช้าๆ “ภาระหน้าที่ของพวกเราตระกูลจงมีค่าต่อใต้หล้าในเมื่อคุณชายหยางไม่มีความคิดเช่นนั้นเรื่องนี้พวกเราไม่ปากมากอยู่แล้ว”
หยางชูยิ้ม “เช่นนั้นถือว่าพวกเราตกลงกันเรียบร้อย เรื่องในคืนนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น หากพวกเขาปล่อยข่าวลือออกไปจริงๆ ท่านแม่ทัพต้องช่วยข้าด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว การช่วยคุณชายหยางก็เหมือนกับการช่วยตนเอง”
“หนึ่งคำหลุดจากปาก[1]”
“สี่ม้ายากตามกลับคืน”
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์จงซู่ประสานมือ “คุณชายหยางเชิญกลับไปพักผ่อนที่ค่ายเถิด”
“ขอบคุณท่านมาก” และทุกคนก็เดินทางกลับค่าย
หยางชูเข้าไปในค่ายและไล่คนอื่นออกไปเหลือเพียงหมิงเวยและหนิงซิว
หมิงเวยนั่งลงจิบชาแล้วพูดว่า “ท่านเป็นจอมโกหกจริงๆ”
หยางชูทำหน้าไร้เดียงสา “ข้าโกหกตรงไหนที่พูดมาเป็นความจริงทั้งหมดไม่ใช่หรือ”
หมิงเวยเหลือบมองที่เขา และพูดคำพูดของจงซู่ขึ้นมาอีกครั้ง “ในเมื่อต้องการรักษาความลับเหมือนกันสองฝ่ายนับว่าเป็นพันธมิตรเช่นนั้นเลือกเข้าข้างฝั่งท่านมันต่างกันตรงไหน”
หยางชูหัวเราะ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ก่อกบฏ…”
“เป้าหมายอยู่สูงเกินไปพูดไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อ การโกหกเลยค่อยๆ กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล” หมิงเวยส่ายหน้า “มนุษย์หนอ…”
…………
[1] หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน : คำพูดของเรา เมื่อเราพูดออกไปแล้ว จะกลับกลายเป็นนายเราทันที เหมือนดั่งม้าสี่ตัวที่ยากจะตามกลับมา