คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 408 สอบสวน
ภายในกระโจมใหญ่องครักษ์นำตัวบุรุษชุดดำเข้ามาแล้วสองพ่อลูกตระกูลจงก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกว่า “คุณชายหยางตอนนี้ท่านพ่อติดธุระอยู่เชิญท่าน…”
“ข้าเองก็มีธุระ” พูดแล้วทำท่าจะเข้าไป
“คุณชายหยางขอรับ!” องครักษ์รีบห้ามเขา “หากท่านต้องการพบท่านแม่ทัพ ข้าน้อยจะเข้าไปรายงาน…”
“ให้เขาเข้ามา” จงซู่ตะโกน
องครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็เปิดทางให้ “ขอรับท่านแม่ทัพ”
จงรุ่ยมองหยางชูยกม่านเดินเข้ามาหาด้านหลังมีหมิงเวยที่ติดตามเข้ามาด้วยก็อดไม่ได้ที่จะแอบกลอกตา
คุณชายหยางผู้นี้ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลยมีสตรีเดินตามมาเช่นนี้ คนที่ไม่เข้าใจจะมองว่าอย่างไรดูค่อนข้างน่าเกลียด นางเป็นทั้งในฐานะนักวางแผนทั้งอนุภรรยา แต่แม้แต่ฐานะและชื่อเสียงก็ไม่มอบให้…
เลว มันเลวเกินไป!
บุรุษไม่คิดจริงจังอย่างคุณชายหยางยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วมองไปที่บุรุษชุดดำจากนั้นก็ถามว่า “แม่ทัพจงจะสอบปากคำในตอนค่ำเลยหรือ”
จงซู่พยักหน้า “กำลังคนของเขาล้วนเป็นทหารเดนตาย หากภารกิจล้มเหลวจะปลิดชีวิตตนเองทันที ตอนนี้เหลือเขาผู้เดียวที่มีชีวิตอยู่ข้าเกรงว่าหากยืดเยื้อออกไปอีกอาจมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น”
หยางชูถาม “แม่ทัพจงคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่หากข้าขอฟังด้วย”
จงรุ่ยคิดในใจก็ยืนอยู่ที่นี่แล้วพวกเราไล่ท่านออกไปได้หรือ
“หากท่านแม่ทัพไม่คัดค้านถ้าเช่นนั้นข้าถือว่าเป็นอันตกลง”
หยางชูพูดจบก็หาที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆ แล้วกวักมือเรียกหมิงเวย “มานั่งนี่”
“….”
จงซู่พูดว่า “หากคุณชายอยากอยู่ฟังที่นี่ไม่เป็นไรเพียงแต่การสอบสวนต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง ขั้นตอนอาจทำให้รู้สึกอึดอัดได้พวกท่านเตรียมตัวสักหน่อยก็ดี”
หยางชูพูดอย่างเกียจคร้าน “ข้าเคยรับผิดชอบหวงเฉิงซือมาก่อนวิธีการสอบสวนนี้เกรงว่าท่านแม่ทัพอาจไม่รู้ไปมากกว่าข้า ไม่ต้องมากพิธีเชิญได้เลย!”
จงซู่คิดตามแล้วก็เห็นว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดจึงบอกจงรุ่ยให้เริ่มทำการสอบสวน
จงรุ่ยปลดพันธนาการบนปากของบุรุษชุดดำแล้วถามว่า “บอกมา! เจ้าเป็นคนของผู้ใดกันแน่”
ท่าทางของบุรุษชุดดำดูเหี่ยวเฉา และเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองจงรุ่ยแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง จงรุ่ยถามอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบเสียที ดูเหมือนว่าหากไม่ลงโทษคงไม่ได้ จงรุ่ยตะโกนเรียกจากนั้นก็มีองครักษ์หลายคนเดินเข้ามา
พวกเขานำเก้าอี้ยาวออกมาแล้วนำศีรษะของบุรุษชุดดำวางพาดไปบนนั้น จากนั้นก็ยกถังน้ำขึ้น
เมื่อจงรุ่ยบอกเริ่มองครักษ์นำผ้าเปียกคลุมหน้าบุรุษชุดดำไว้จากนั้นจึงตักน้ำขึ้นแล้วเทลงไปอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสมควรแล้วองครักษ์หยุดสาดน้ำแล้วดึงผ้าเปียกออก
จงรุ่ยคุกเข่าลง “บอกได้หรือยัง” บุรุษชุดดำไอสำลักออกมา แต่ยังคงไม่พูดอะไร
จงรุ่ยโบกมือ “ทำต่อไป”
การทรมานด้วยน้ำไม่มีการนองเลือด แต่เป็นการทรมานที่โหดเหี้ยมจริงๆ คนต่างดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็น และความตาย อากาศที่ใช้หายใจค่อยๆ หายไป ผ้าเปียกปิดตา หู จมูก และปาก แม้กระทั่งประสาทสัมผัสก็ถูกลิดรอน
หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งบุรุษชุดดำเริ่มอยู่ในภวังค์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็แข็งแกร่งมาก และยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
“ท่านแม่ทัพขอรับ” องครักษ์มองจงรุ่ยอย่างลังเล
จากประสบการณ์ของเขาหากยังคงดำเนินต่อไปบุรุษชุดดำอาจถูกทรมานจนตาย
จงรุ่ยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรอยู่พักหนึ่งทหารเดนตายผู้อื่นล้วนตายหมดแล้ว เหลือเพียงบุรุษชุดดำที่ยังมีชีวิตอยู่หากเขาถูกทรมานจนตายจริงๆ…
ในขณะที่เขากำลังลังเลก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหยางชูอีกฝ่ายวางถ้วยชาไว้ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณชายใหญ่ไม่สามารถง้างปากเขาได้เช่นนั้นให้ข้าจัดการแทนดีหรือไม่”
จงรุ่ยมองเขาอย่างสงสัย “ท่านหรือ”
หยางชูลุกขึ้นเดินเข้าไปเขาโน้มตัวลงและพูดว่า “ท่านหลินรู้หรือไม่ว่าข้าเคยทำงานในหวงเฉิงซือมาก่อน”
บุรุษชุดดำเหลือบตามองเขาแล้วหลับตาจากนั้นก็หันศีรษะราวกับไม่ต้องการให้ความร่วมมือ
หยางชูพูดต่อไปว่า “ท่านแข็งแกร่งเช่นนี้ข้าขอชื่นชมจริงๆ คนอย่างท่านคงต้องใช้วิธีพิเศษเท่านั้น อย่างเช่น หวงเฉิงซือมียาลับประเภทหนึ่งหากกินเข้าไปแล้วจะตกอยู่ในภวังค์ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ถามอะไรไปก็จะพูดออกมา…”
บุรุษชุดดำลืมตาขึ้นทันทีและพูดเสียงแหบ “ท่านไม่ต้องพูดให้ข้ากลัวหรอก คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ยานั่นมีราคาแพงมาก หวงเฉิงซือมีจำนวนไม่มากจะใช้เฉพาะกับอาชญากรที่สำคัญมากเท่านั้น…”
พูดถึงเรื่องนี้แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
หยางชูสังเกตเห็นและถอนหายใจ “ดูเหมือนท่านจะรู้ว่าหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องก็เคยถูกบังคับให้ใช้ยานี้” บุรุษชุดดำกัดฟันด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“อันที่จริงข้าชื่นชมท่านมากๆ หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องตายไปหลายปีแล้ว ท่านยังคงภักดีต่อเขา ในเรื่องของจุดยืนท่านใกล้เคียงกับข้ามาก แต่ผู้ใดบอกให้ท่านคิดร้ายกับข้าเล่า ใช้ชีวิตข้าเป็นหมากต้องมีความเข้าใจความรู้สึกของการกลายเป็นหมากเสียก่อน!”
หยางชูเก็บพัดแล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ยาลับนี้ตอนที่ข้าดูแลหวงเฉิงซือได้เก็บมันไว้กับตัวหนึ่งเม็ด ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในหวงเฉิงซือแล้ว หากจะใช้ไม่จำเป็นต้องรายงาน ในเมื่อท่านเสนอตัวมาถึงที่แล้ว ข้าขอดูหน่อยว่าฤทธิ์ยาที่ลือกันเป็นเรื่องจริงหรือไม่!” เขาหยิบขวดยาออกมาแล้วเทยาเม็ดสีดำออกมาจากขวดนั้น
“ไม่ต้องกลัว” เขาพูดเสียงอ่อนโยน “ยานี้นอกจากส่วนผสมนั้นแล้วที่เหลือเป็นแค่ยาบำรุง หากกินเข้าไปแล้วไม่ทำให้ท่านเจ็บปวดอีกทั้งยังสามารถยืดลมหายใจของคนใกล้ตายกลับมาได้ด้วย” พูดจบเขาก็โยนยาเข้าไปในปากของบุรุษชุดดำจากนั้นใช้นิ้วกดคอเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายกลืนลงไป
ความกลัวปรากฏขึ้นในแววตาของบุรุษชุดดำเขารู้สึกว่ายานั้นเล็ดลอดเข้าไปในหลอดอาหาร…
หยางชูยืนขึ้นและสั่งองครักษ์ “จัดการต่อ”
องครักษ์เหลือบมองจงซู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอะไรก็ตอบรับ “ขอรับ”
การทรมานด้วยน้ำดำเนินต่อไปอีกสองครั้งแววตาของบุรุษชุดดำดูเลื่อนลอยมากขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งที่สามองครักษ์ดึงผ้าเปียกออกจากใบหน้าของเขา และในที่สุดเขาก็พูดว่า “ข้าพูดแล้ว…”
จงรุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาคุกเข่าลงแล้วถามว่า “เจ้าเป็นคนของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องงั้นหรือ”
บุรุษชุดดำขยับริมฝีปาก “ใช่”
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
บุรุษชุดดำพึมพำ “พวกเราต้องการแก้แค้นให้จวิ้นอ๋อง..”
“แก้แค้น” จงรุ่ยสงสัย “เจ้าจะแก้แค้นอย่างไร”
“ทำให้ฝ่าบาทสงสัยในตระกูลจง และบังคับให้พวกเขา…”
จงซู่กับจงรุ่ยตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้
พวกเขารู้ดีว่าความไว้ใจของฮ่องเต้ที่มีต่อตระกูลจงนั้นน้อยเพียงใด หากครั้งนี้พวกเขาทำสำเร็จจริงๆ แล้วไปยุยงต่อหน้าพระพักตร์ความน่าจะเป็นของความสำเร็จก็คงสูงไม่น้อย
หากฮ่องเต้ตัดสินใจละทิ้งตระกูลจงจริงๆ พวกเขาจะตอบโต้อะไรได้
หากโต้กลับชื่อเสียงของตระกูลหลายชั่วอายุคนก็จะถูกทำลาย หากไม่โต้กลับก็รอถูกยึดทรัพย์ และฆ่าล้างทั้งตระกูลได้เลย
จงรุ่ยถามคำถามอีกสองสามข้อ บุรุษชุดดำตอบทีละคำถามแน่นอนว่าในกลุ่มพวกเขามีคนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้แฝงตัวเข้ามาแล้ว สองพ่อลูกตระกูลจงมีสีหน้ามืดครึ้มกัดฟันด้วยความเกลียดชังรู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำลายแผนการของพวกเขาได้สำเร็จตระกูลจงคงไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป
หากตระกูลจงจบสิ้นแล้วทหารตระกูลจงสองแสนนายจะมั่นคงหรือ ถึงแม้พวกเขาไม่คิดโต้กลับ แต่กองทัพจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลานั้น…
หยางชูเหลือบมองพวกเขา แต่ถามคำถามอื่น “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าปีนั้นเกิดเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์จนตอนนี้ก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่”