คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 409 เจ็บปวด
ก่อนหน้านี้เมื่อบุรุษชุดดำแสร้งทำเป็นพวกเดียวกันนั้นได้พูดออกมาเรื่องหนึ่ง
หยางชูไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังคิดว่าเขาจงใจยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังต่อฮ่องเต้ แต่เมื่อครู่ที่แผนการสมรู้ร่วมคิดของเขาถูกเปิดเผยเขาพูดสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าตระกูลจง
เรื่องนี้ควรค่าแก่การพิจารณา หากการตายของซือฮว๋ายไท่จื่อเกี่ยวข้องกับปัจจุบัน แล้วเหตุใดองค์หญิงใหญ่ต้องปิดบังตัวตนของเขาด้วย
ผ่านมาแล้วสองชั่วอายุคนแม้เขาจะเป็นสายเลือดของซือฮว๋ายไท่จื่อจริงๆ เขาก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์
จากพ่อสู่ลูกถือเป็นสายเลือดโดยตรง แต่องค์หญิงใหญ่กลับเก็บความลับไว้จนนางสิ้นพระชนม์ และถึงกับจงใจโกหกเขาจนเขานึกว่าตนเองเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้
มันไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นพวกเขาแค่คาดเดาว่าตอนนี้อาจมีบางสิ่งที่ยากที่จะพูดเกี่ยวกับคนผู้นั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
“คุณชายหยาง!” เมื่อเขาถามคำถามนี้ทำให้จงรุ่นตกใจจนตะโกนออกมา
จงซู่เองก็บอกว่า “คุณชายสามเรื่องนี้…”
หยางชูพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ต้องการเอาเรื่องเก่ามาพูด สำหรับพวกท่านแล้ว เรื่องนี้ควรฝังลงดินไว้จะดีที่สุด และจะไม่มีผู้ใดพูดถึงมันอีก แต่สำหรับข้าเรื่องนี้จำเป็นต้องทำให้แน่ชัดเข้าใจหรือไม่”
แน่นอนว่าสองพ่อลูกเข้าใจแต่…
“คุณชายสามมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสอบสวนเรื่องนี้ในตอนนี้ท่านบอกเองว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะก่อกบฏ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใด…”
“แก้แค้นได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเมื่อความจริงอยู่ตรงหน้าข้ากลับไม่สอบถามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” หยางชูมองเขาอย่างเย็นชา
“แต่ถึงท่านรู้ความจริงท่านจะทำอะไรได้”
หยางชูไม่ยอมแพ้ “อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ข้าไม่ขอให้พวกท่านตระกูลจงยืนอยู่ข้างข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกท่านอย่ามาขัดขวางข้า!”
จงรุ่ยหวั่นวิตก “คุณชายหยาง! ที่นี่เป็นอาณาเขตของพวกเรา และนี่ก็เป็นนักโทษของพวกเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดพวกเราถึงขัดขวางไม่ได้ ความลับบางอย่างหากได้ยินก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเราไม่อยากถูกฝังไปร่วมกับท่านหรอกนะ!”
หยางชูไม่สนใจเขา เขาเอาแต่มองไปที่จงซู่
จงซู่ถอนหายใจและโบกมือ “ปล่อยเขาเถอะ!”
“ท่านพ่อ!”
จงซู่ส่ายหน้า จงรุ่ยที่ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของบิดาจึงทำได้เพียงจ้องไปที่หยางชูอย่างหงุดหงิด “ได้ ตามสบายเลย!”
หยางชูถามต่อ “พูดมา! เหตุการณ์ต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
บุรุษชุดดำหัวเราะอย่างเศร้าโศก และกล่าวว่า “ไท่จื่อถูกใส่ร้ายเป็นฝีมือคนของฉินอ๋อง จิ้นอ๋องเองก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป…ในตอนที่ฮ่องเต้ไท่จู่เรียกไท่จื่อกลับเมืองหลวง จิ้นอ๋องได้ทำข้อตกลงลับกับฉินอ๋องว่าต้องไม่ให้เขากลับเมืองหลวงเด็ดขาด”
บุรุษชุดดำหายใจอ่อนแรงและพูดต่อว่า “ในตอนนั้นจ้าวอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีกับเวินกั๋วกงซื่อจื่อ แต่เวินกั๋วกงอยู่ฝ่ายจิ้นอ๋องทำให้เขาได้รู้ข่าวนี้ด้วย…ไม่มีผู้ใดสนใจจ้าวอ๋องเพราะเขาไม่มีพรรคพวกเป็นของตนเองซึ่งเทียบไม่ได้กับพี่ชายทั้งสามคนของเขา
หลังจากนั้นไท่จื่อสิ้นพระชนม์ระหว่างทางกลับเมืองหลวงทำให้ฮ่องเต้ไท่จู่กริ้วหนักจนมีการสืบสวนอย่างละเอียด องค์ชายทั้งสองได้ทำลายหลักฐานเรื่องนี้ออกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้พบเบาะแสเร็วเช่นนั้น…”
“เรื่องราวหลังจากนั้นพวกท่านก็รู้อยู่แล้ว องค์ชายทั้งสอง องค์หนึ่งถูกแขวนคอตาย อีกคนเสียชีวิตระหว่างลี้ภัย จึงเหลือโอรสเพียงองค์เดียวซึ่งเขาได้สืบทอดบัลลังก์ได้อย่างราบรื่นได้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ฮ่าๆๆ พวกเราเพิ่งมาเข้าใจในภายหลังว่าการที่ฮ่องเต้พบเบาะแสเร็วเช่นนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ
เป็นเพราะจ้าวอ๋องเป็นคนบอกความลับนั้นเขารู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่ไม่คิดเตือนไท่จื่อ เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดมองดูพี่ชายทั้งสามต่อสู้กันอย่างเย็นชา ส่วนตนเองก็เก็บหลักฐานเงียบๆ และเมื่อในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเขาก็นำเรื่องนี้ออกมา และฆ่าพวกเขาทั้งหมด! ไม่ควรประมาทจริงๆ! ทุกคนต่างบอกว่าจ้าวอ๋องเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะจัดการได้อย่างสวยงามเช่นนี้ หากองค์ชายทั้งสามให้ความสนใจมากกว่านี้บางทีต้าฉีในตอนนี้อาจไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้…”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกใจ จงซู่ขมวดคิ้ว และไม่ได้พูดเป็นเวลานาน
หยางชูก้มหน้ามองบุรุษชุดดำด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
จงรุ่ยอดไม่ได้ที่จะมองไปที่บิดาของตน “ท่านพ่อ”
จงซู่ส่ายหัว พวกเขาไม่ควรรับรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ได้ยินแล้วจึงได้แต่ทำเป็นไม่รู้ ศึกชิงบัลลังก์เต็มไปด้วยเลือดเรื่องนี้ใครๆ ต่างรู้ว่าเป็นเช่นนี้ในทุกๆ รุ่น
พี่น้องตระกูลเจียงทำร้ายกันเองไม่ใช่ไม่เคยมีมาก่อนไม่ใช่ว่าอนาคตจะไม่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจงเป็นเพียงผู้บัญชาการทหาร การยอมจำนนต่อไท่จื่อในอดีตนั้นเป็นเพราะบิดาของเขาสับสนไปชั่วขณะคิดว่าไท่จื่อกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ และอีกฝ่ายจะเป็นเจ้านายที่ชอบธรรม พูดตามตรงสถานะของพวกเขาที่อยู่ฝั่งไท่จื่อเองก็รักษาไว้ไม่ได้
ยี่สิบปีผ่านไปตำแหน่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังมั่นคงแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้อีกทำได้แค่ทำหน้าที่ขุนนางอย่างดีที่สุด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จงซู่ก็หันไปมองหยางชู เขาเป็นขุนนาง สามารถทนเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว แต่คุณชายหยางเป็นสายเลือดของซือฉว๋ายไท่จื่อเมื่อรู้ความจริงแล้วคงไม่…
หยางชูดูสงบและถามต่อ “แล้วหลักฐานที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ล่ะ หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องพบหลักฐานแล้วจากนั้นเขาทำอะไร”
บุรุษชุดดำยิ้มอย่างขมขื่น “หลักฐานเอาผิดงั้นหรือ มันจะไปมีได้อย่างไร ในตอนนั้นจวิ้นอ๋องพ่ายแพ้ก็ถูกหวงเฉิงซือใช้ยาลับนั่น หลักฐานก็ถูกพบไปนานแล้ว ตอนนี้เขาสะอาดไม่มีอะไรให้กลัว…”
หยางชูหลับตาเขาลุกขึ้น และพยักหน้าให้สองพ่อลูกตระกูลจง “ข้ารู้ในเรื่องที่อยากรู้แล้วที่เหลือตามสบาย” พูดจบเขาก็หันหลังออกจากกระโจมโดยไม่ลังเล
……….
เมื่อกลับไปถึงกระโจมของตนเองหมิงเวยเดินตามเข้ามา
“ยานั่นเป็นของปลอมหรือเจ้าคะ” นางนั่งลงตรงหน้าหยางชู
“อืม” หยางชูตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยานั่นหายากมากทุกเม็ดมีการบันทึกไว้ แม้ว่าข้าจะอยู่ในหวงเฉิงซือ แต่ก็ไม่สามารถหยิบใช้ตามใจได้”
หมิงเวยพูด “ในเมื่อเป็นของปลอมเขาคงทนการทรมานไม่ไหวจึงพูดออกมา และสิ่งที่เขาพูดอาจไม่เป็นความจริง”
สิ้นเสียงนางหยางชูยืนขึ้นอย่างกะทันหัน และกวาดทุกอย่างบนโต๊ะเล็กออกไปจนหมด เตะเก้าอี้จนแหลกเป็นชิ้นๆ ดวงตาแดงก่ำท่าทางดูโกรธเป็นอย่างมาก
“คุณชาย!” อาสวนรีบเข้ามา หยางชูยังคงโกรธจัดเขาเตะตะเกียงจนในกระโจมตกอยู่ในความมืด
“ออกไป!” เขาตะโกน
อาสวนลังเล แต่ได้ยินหมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ออกไปเถอะ”
อาสวนนิ่งไปชั่วครู่ “ขอรับ”
ในความมืดมิดหมิงเวยฟังเสียงร้องราวกับสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ น้ำเสียงนั้นดูหดหู่และเจ็บปวด “หลายปี หลายปีเพียงนี้! ที่ข้ายังคิดว่าเขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดจริงๆ ทั้งรักและเคารพเขา แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้ แม้หลังจากนั้นข้าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่ ข้ารู้ว่าเขาโกหกข้า แต่ยังคิดว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี นอกจากเรื่องที่พรากท่านแม่ไปจากข้าแล้วเรื่องอื่นเขากลับทำได้ดี การจับผิดไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ผลกลับเป็นอย่างไรเล่า ผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะ!”
“เขาโกหกข้า! เดิมทีเขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์! ครอบครัวของข้าต้องตายอย่างน่าสลดเขามันฆาตกร!”
เขาพูดไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เหตุใดเขาถึงเป็นคนเช่นนี้ข้าเชื่อเขาถึงเพียงนั้น เชื่อเขาได้ถึงเพียงนั้น…”