คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 410 หิมะตก
ตอนนี้หากกล่อมเขาอีกว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องจริงดูจะเป็นการหลอกตัวเองไปหน่อย หมิงเวยถอนหายใจและเดินไปข้างหน้าในความมืด
หยางชูหอบอย่างหนัก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ เมื่อถูกนางจับกล้ามเนื้อแขนของเขาก็ขยับจนเกือบจะเหวี่ยงนางออกไป แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน
หมิงเวยกอดเขานางลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ และกระซิบ “อย่าโกรธไปเลยไม่มีเขาท่านก็ยังมีใครอีกหลายคน คิดถึงกุ้ยเฟย อาหว่าน อาจารย์หนิงแล้วก็ข้า…”
นางปลอบโยนจนอารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง เขาหลับตาแน่นในความมืดจนกระทั่งรู้สึกว่าตนเองไม่หลั่งน้ำตาแล้วจึงลืมตาขึ้นแล้วโอบกอดนางเอาไว้ เขากอดนางแน่นจนนางแทบแหลกสลายเป็นชิ้นๆ
“ไม่ไปได้ไหม” เขาถามเสียงแหบพร่า
หมิงเวยตกใจแล้วตอบไปว่า “ข้าจะไปได้อย่างไรปกติข้าก็อยู่กับท่านอยู่แล้ว”
“ไม่ ไม่ใช่ตอนนี้” หยางชูเพียงรู้สึกสับสนและอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง “ข้ารู้อยู่เสมอว่าวันหนึ่งท่านจะจากไปถึงไม่สัญญากับข้า ไม่สำคัญว่าท่านจะไร้สถานะไร้ชื่อเสียง หรือได้รับสายตาแปลกๆ จากผู้อื่น แต่ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ข้าหวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปตลอดไปจนแก่เฒ่า…”
หมิงเวยอ้าปากไม่รู้จะตอบอะไรไปชั่วขณะหนึ่งเพียงรู้สึกว่าหัวใจราวกับถูกบดขยี้ ปวดร้าวจนแทบหายใจไม่ออก
“ไม่ได้หรือ ไม่ได้จริงๆ หรือ” เขาไม่ได้รับคำตอบจึงถามต่อเสียงเบา
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างชัดเจนทุกคำ “ข้าจะอยู่กับท่านไปตลอดเจ้าค่ะ”
“จริงนะ” ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อ
“จริงเจ้าค่ะ” หมิงเวยเอนศีรษะซบอกเขา “ท่านไม่ให้ข้าไปข้าก็ไม่ไป”
ในที่สุดหยางชูก็ถอนหายใจและนั่งลง คืนนี้พวกเขาไม่พูดอะไรเพียงแต่อยู่เป็นเพื่อนกันเงียบๆ จนถึงรุ่งเช้าก็ออกเดินทางกลับสู่จวนแม่ทัพ
…………
หยางชูที่กลับมายังจวนแม่ทัพฝ่ายซ้ายหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน
วันต่อมาเขาก็ประกาศออกมาว่าตนเองป่วย และต้องการพักฟื้น หลังจากนั้นสิบกว่าวันก็ไม่มีผู้ใดเห็นเงาของเขาเลย ตอนแรกจงรุ่ยรู้สึกผิดเล็กน้อยวันนั้นเขาไม่ควรทำให้อีกฝ่ายตกใจเลย
อยู่ไปอยู่มาเขาก็นึกขึ้นได้จึงถามบิดาของตนว่า “ท่านพ่อ เขาแกล้งป่วยหรือไม่”
จงซู่ปวดหัวกับความรู้สึกช้าของบุตรชายเขาถอนหายใจ “ตอนฆ่าคนไม่แม้แต่กะพริบตาแค่นี้มันจะทำให้ตกใจง่ายเช่นนั้นเลยหรือ”
“แล้วที่เขาไม่ไปจากที่นี่หมายความว่าอย่างไรคิดจะโกงเราหรือ”
จงซู่คิดแล้วตอบว่า “หากตลบหลังเราตอนนี้จะไม่เป็นผลดีต่อเขาที่ไม่ไปอาจเป็นเพราะไม่อยากไป”
“ไม่อยากไปงั้นหรือ แต่อยู่ที่นี่จะทำอะไรได้”
จงซู่เองก็คิดไม่ออก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไปพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้! ไม่สามารถไล่อีกฝ่ายออกไปได้อยู่แล้ว
จงรุ่ยลังเลอยู่นานลดเสียงลงแล้วถามว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าเขาจะไม่มีความคิดนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่”
จงซู่ส่ายหน้า “จะบอกว่าไม่คิดเลยเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่วันนั้นเขาพูดไม่ผิด จวิ้นอ๋องทั้งสองล้วนมีตำแหน่งซึ่งเขาไม่มีทางทำสำเร็จอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นเพราะเป็นเขาด้วยถึงอยากแก้แค้นแต่ไม่มีอำนาจ มีความคิดไปก็หมดหนทางอยู่ดี”
จงรุ่ยคิดตาม และรู้สึกว่าเขาน่าสงสารเล็กน้อย “หากไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นคนที่อยู่ตำแหน่งนั้นในตอนนี้เป็นไท่จื่อองค์ก่อน เขาในฐานะบุตรของบุตรชายคนโต มีโอกาสสูงที่จะได้บัลลังก์ไม่เหมือนตอนนี้ โดดเดี่ยว ลำบากยากแค้น แม้แต่ญาติคนเดียวก็ไม่เหลือ แม้แต่ชาติกำเนิดที่แท้จริงยังเปิดเผยไม่ได้เกิดในราชวงศ์คงเป็นเรื่องที่โชคร้ายที่สุด”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ!” จงซู่มองเขา “เรื่องนี้จากนี้ไปเหยียบไว้ให้มิดไม่อนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้อีก!”
จงรุ่ยเอามือแตะจมูก และรู้ว่าตนเองพูดมากเกินไป “ขอรับ…”
…………
ในตอนแรกหยางชูไม่คิดที่จะเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ไปถามตระกูลจงว่าสุดท้ายจัดการกับบุรุษชุดดำอย่างไร
แม้อาหว่านจะถือว่าเป็นเจ้านายเก่าของคนพวกนี้ แต่เรื่องที่บุรุษชุดดำทำนั้นหลุดพ้นจากการแก้แค้นนานแล้วไม่ถือว่าทำให้แผ่นดินวุ่นวายมากเกินไป เขาไม่ต้องการให้อาหว่านถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
โชคร้ายที่นางมีชาติกำเนิดเช่นนั้น นางเป็นสตรี เรื่องที่สามารถทำได้มีได้น้อย หากนางพัวพันกับความคิดที่จะแก้แค้นก็จะเจ็บปวดมากกว่าเขา
เขาอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งหิมะตกที่ไป๋เหมินเซี่ย ทันทีที่หิมะตกในเขตแดนซีเป่ย หมายความว่าถนนได้ถูกปิดลง
เอาล่ะ ทีนี้ต่อให้อยากไปก็ไปไม่ได้ ถ้าโชคดีอาจอยู่จนถึงท้ายปีถ้าโชคไม่ดีอาจยาวไปถึงฤดูใบไม้ผลิ
หยางชูไม่ว่าอะไรเพราะทางด้านเกาถางอาหว่านจัดการได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว หากมีอะไรที่จัดการไม่ได้ก็ให้ผู้จัดการหยางหรือโหวเหลียงช่วยเหลือ
เมื่อพูดถึงโหวเหลียงหยางชูรู้สึกกังวลเล็กน้อย “เจ้านั่นนิสัยเก่าจะไม่กำเริบใช่หรือไม่”
หมิงเวยยิ้ม “ก่อนออกเดินทางข้าให้ตัวฝูคอยจับตาดูเขาแล้ว”
“ตัวฝูหรือ ไม่กลัวว่าจะถูกเขาหลอกหรืออย่างไร”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เห็นด้วยของเขาหมิงเวยจึงตอบว่า “ท่านอย่าดูถูกตัวฝูสิ นางแค่ซื่อสัตย์แต่ไม่ได้โง่ นางรู้เหตุผลไม่หวั่นไหวอยู่แล้วคนฉลาดแกมโกงอย่างโหวเหลียงทำอะไรนางไม่ได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ใช่ๆๆ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล”
ข้างนอกมีหิมะตกหนัก และถึงแม้ว่าจะมีกองไฟถ่านอยู่ในเรือน แต่อากาศก็ยังเย็นอยู่บ้าง หยางชูสัมผัสมือของนางที่เย็นเล็กน้อยแล้วถาม “บาดแผลครั้งก่อนเป็นอย่างไรบ้างเหตุใดข้ารู้สึกว่าดูอ่อนแอกว่าเมื่อก่อน”
“เดิมทีร่างกายนี้ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว” หมิงเวยยืมมือของเขาทำให้ตนเองรู้สึกอบอุ่น “หากข้าไม่มาและคุณหนูเจ็ดไม่ถูกทำให้ตกใจจนเสียชีวิต แต่นางก็อาจจะอายุไม่ถึงสามสิบปี”
หยางชูเริ่มประหม่า “งั้นท่านตอนนี้…”
หมิงเวยยิ้ม “ข้าใช้สมุนไพรล้ำค่ามากมายดูแลร่างกายเช่นนี้จะเสียเปล่าได้อย่างไรเจ้าคะ”
หยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ต้องการอะไรท่านบอกมาได้เลยหากบำรุงได้ดีก็คุ้มค่าที่จะจ่าย”
“เจ้าค่ะ”
“อากาศหนาวเช่นนี้ให้ข้าช่วยท่านให้อุ่นขึ้นจะดีกว่า” เขาพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่มือของเขากลับเลื่อนเข้าไปในเสื้อของนาง
หมิงเวยตบเขาเบาๆ แล้วร้องเสียงหลง “นี่เรียกว่าทำให้อุ่นขึ้นหรือ”
หยางชูยิ้มตาหยีแล้วยกตัวนางขึ้นมาทาบทับบนกายเขาใช้ผ้าห่มหนาห่มร่างของพวกเขาสองคนแล้วปลดเสื้อผ้าด้านในนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งลมหายใจของทั้งสองคนเริ่มหนักขึ้นหมิงเวยก็หน้าแดงกว่าเดิม และเห็นเหงื่อผุดที่หน้าผากของเขา
เขาโน้มตัวเข้ามาและหัวเราะเบาๆ “เห็นหรือยังว่าร้อนขึ้นแล้ว”
หมิงเวยกัดปากเขาต้องการจะตอบแต่พูดไม่ได้ ข้างนอกบ้านมีหิมะตกหนัก แต่ในเรือนกลับร้อนระอุ
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวหาเขา “เหตุใดท่าน…รุนแรงเช่นนี้”
หยางชูกัดติ่งหูของนาง และขอโทษอย่างไม่จริงใจเท่าไรนัก “ขอโทษ…ข้าจะเบาๆ ก็แล้วกัน” แต่กลับกลายเป็นว่าประโยคนี้เป็นเพียงคำพูดลมปาก…
เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่จบไม่สิ้นหมิงเวยรู้สึกโกรธนิดหน่อย “ข้ายังต้องบำรุงร่างกาย บำรุงไปบำรุงมาผลลัพธ์ของยาทั้งหมดไปอยู่ที่ท่านหมดแล้ว”
หยางชูไร้ยางอาย “ข้างนอกหิมะตกถือว่าได้ฝึกกำลังกาย”
เห็นเขาดูไม่อยากพักผ่อนหมิงเวยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว คนหนุ่มสาวนี่ไม่รู้จักประมาณตนเสียเลย หากยังไม่จนตรอกก็จะไม่หยุดแน่นอน
โชคดีที่มีเสียงมาจากด้านนอก “คุณชาย คุณชายจงมาเยี่ยมขอรับ”
หมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและผลักเขา “มีแขกมายังไม่จัดการตัวเองอีก”
หยางชูไม่พอใจ “ให้เขารอก่อน”
“รออะไรกันเจ้าคะ อยู่ในอาณาเขตของผู้อื่นยังมาวางมาดอีก รีบไปเร็ว!”
หยางชูลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ และสาปแช่งจงรุ่ยเป็นหมื่นครั้งในใจ เวลาอื่นมีไม่มาช่างไม่รู้เวลาเอาเสียเลย
………….