คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 412 ตัวแทนฮ่องเต้
ผ่านไปพริบตาเดียวก็จบปีแล้ว จงซู่ยุ่งมากจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
ในตอนที่มาถึงหยางชูเยาะเย้ยตระกูลเขาด้วยคำว่า ‘เจ้าเมืองซีเป่ย’ ซึ่งอันที่จริงสถานะของตระกูลจงก็ไม่ต่างจากเจ้าเมืองซีเป่ยเลย
กิจการทหารในซีเป่ยทั้งหมดถูกกำหนดโดยตระกูลจง แม้ว่าเหลียงจางจะเป็นผู้นำกองทัพขวา แต่ระดับของเขาก็ยังไม่ดีเท่ากับของจงซู่ หากพูดถึงสงคราม ก็ต้องพูดถึงจงซู่เช่นกัน
ดังนั้นเมื่อถึงช่วงปีใหม่นอกจากงานด้านการทหารแล้วจวนแม่ทัพยังต้องตอบรับมารยาทการติดต่อจากผู้คนด้วย นอกจากจวนต่างๆ แล้ว ยังมีรางวัลจากเมืองหลวง และบรรณาการจากทุกเผ่าในซีเป่ยอีกด้วย
ปีนี้เป็นเพราะเรื่องในเป่ยหูนอกเหนือจากรางวัลตามปกติแล้วยังส่งตัวแทนฮ่องเต้มาที่นี่ด้วย ตัวแทนฮ่องเต้ผู้นี้หยางชูเองก็รู้จักเขาแซ่กัวนามสวี่ เดิมทีเขาจะอยู่ในราชสำนักซึ่งทุกคนเรียกเขาว่าผู้อาวุโส
กัวสวี่เป็นผู้อาวุโสที่ดี แต่ต้องเดินทางมายังซีเป่ยด้วยความยากลำบากนั้นถือว่าโชคร้าย
ในบรรดาผู้อาวุโสทุกท่านในราชสำนัก กัวสวี่ยังอายุน้อย และอารมณ์ร้อน คนที่รับไม่ได้มีเยอะ แต่เขามีงานอดิเรกที่ละอายใจที่จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ก็คือชอบเกาะเมียน้อย
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังดื่มชาใกล้ๆ สระฉางเล่อก็ไปเห็นสาวงามรูปร่างบอบบางก็เกิดอาการใจสั่นจนต้องไปถามแม่สื่ออยากรับนางมาเป็นอนุคนที่เก้า
ฝ่ายเจ้าของโรงน้ำชาก็ตอบตกลงอย่างง่ายดายเพียงแต่สตรีผู้นั้นเพิ่งไปดูตัวมา พวกเขาพอใจกันและกันมาก และรอการหมั้นหมาย
เมื่อถูกกัวสวี่เข้ามาแทรกแซงจนการแต่งงานล้มเหลวเมื่อสตรีผู้นั้นพบว่านางกำลังจะแต่งงานกับบุรุษที่สามารถเป็นบิดาตนได้ก็แขวนคอตนเอง
เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงขึ้นโดยที่กัวสวี่เองก็ไม่ทราบอย่างไรก็ตามหากศัตรูทางการเมืองรู้เข้าพวกเขาจะไม่ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
ดังนั้นผู้อาวุโสกัวจึงถูกร้องเรียนไปยังฮ่องเต้จนไม่สามารถแก้ต่างอะไรได้
แม้ว่าการที่บุรุษจะแต่งอนุภรรยาหลายครั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความคิดของขุนนางปัญญาชนก็ยังยกย่องสามีภรรยาที่ซื่อสัตย์ ปกติไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ แต่ถ้าหากเรื่องถูกยกขึ้นมาจนผู้คนจำนวนมากล้วนพูดถึงกันเป็นทอดๆย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูกก็จะกลายเป็นปัญหาทางศีลธรรมได้
เมื่อเห็นว่าราชสำนักกังวลกับเหตุการณ์นี้จนฮ่องเต้เองก็รู้สึกรำคาญจึงลดขั้นกัวสวี่ลงหลายระดับ และไล่เขาออกจากเมืองหลวงเพื่อสงบสติอารมณ์ในดินแดนอันหนาวเหน็บในซีเป่ย
กัวสวี่เดินทางมาอย่างลำบากถึงขนาดที่แม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงยังไม่กล้าพามาจนมาถึงไป๋เหมินเซี่ย เมื่อเห็นกัวสวี่ตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นจนหยางชูอดไม่ได้ที่จะช่วยเช็ดน้ำตาอย่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
เขาคงมาถึงซีเป่ยในเวลาไม่นานก่อนที่หิมะจะตกหนัก เหตุการณ์นี้เหมือนกับครั้งแรกที่เขาเดินทางมาถึงเกาถาง หิมะบนท้องถนนหนาประมาณหนึ่งชุ่นทำให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางด้วยรถม้าจึงทำได้เพียงขยับไปข้างหน้าทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น
อากาศเช่นนี้ไม่เหมาะสำหรับการเดินทาง แต่กัวสวี่ที่ถือพระราชโองการต้องรีบไปยังไป๋เหมินเซี่ยก่อนปีใหม่แม้ว่าเขาจะต้องปีนขึ้นไปก็ตาม หยางชูได้เรียนรู้ว่านอกจากความเห็นอกเห็นใจแล้ว เขายังรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
เมื่อพบว่ามีคนโชคร้ายกว่าตนก็รู้สึกมีความสุข
เมื่อมาถึงจวนแม่ทัพหลังประกาศพระราชโองการเสร็จกัวสวี่ก็ขอห้องพักจากจงซู่จากนั้นก็รีบไปจุดไฟทั้งที่ตัวสั่นระริก กว่าหยางชูจะได้พบเขาก็ผ่านไปสองวันแล้ว
“ผู้อาวุโสกัวไม่เจอกันนานเลยขอรับ”
กัวสวี่ทำหน้าบึ้งและพูดว่า “ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสอีกแล้วคุณชายหยางโปรดเปลี่ยนคำเรียกด้วย”
หยางชูก็คล้อยตามแต่โดยดี “ใต้เท้ากัว”
กัวสวี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายหยาง หากข้าจำไม่ผิดตอนนี้ท่านได้รับตำแหน่งเป็นคนดูแลสนามเลี้ยงม้าที่เกาถาง ตอนนี้ควรอยู่ที่เกาถางถึงจะถูกเหตุใดถึงอยู่ที่ไป๋เหมินเซี่ยได้”
หยางชูถอนหายใจ และระบายความคับอกคับใจออกมา “ใต้เท้ากัวคงไม่ทราบว่าการกระทำของตระกูลจงช่างเอาแต่ใจ ก่อนหน้านี้มีโจรบุกปล้นสนามเลี้ยงม้า ข้าโกรธมากจึงสั่งให้คนไปกวาดถ้ำโจร ผู้ใดจะรู้ว่าได้พบกับคุณชายจงที่ออกมาปราบปรามพวกโจรเข้า และจับกุมคนของข้าโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆ
บังคับให้ข้าเดินทางมาที่ไป๋เหมินเซี่ยเพื่ออธิบาย ใต้เท้ากัว…ท่านในฐานะผู้อาวุโส เรื่องที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ต้องสังเกตเห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจน ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่เหตุใดถึงไม่เห็นพวกเขาปราบปรามพวกโจรเลย แต่รอให้พวกข้าเริ่มกวาดล้างพวกโจรพวกเขาก็มาร่วมสนุกด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องการเอาเปรียบท่านคิดว่าเรื่องนี้ผู้ใดที่เสียเปรียบกัน…”
เขาเล่าเสียยืดยาวจนกัวสวี่คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากเกินไปจนไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
กัวสวี่ผู้นี้มีความสามารถมากไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเข้าราชสำนักได้ด้วยวัยเพียงสี่สิบต้นๆ แต่เขาหยิ่งเกินไป และดูถูกทหารอยู่เสมอ
เรื่องระหว่างหยางชูกับสองพ่อลูกตระกูลจงได้ละเมิดข้อห้ามของเขา ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยไม่มีความสง่างามเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้หยางชูยังคงรักษาท่าทีของคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อมายังซีเป่ยกับไม่สนใจเรื่องนี้เสียแล้วทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจ
“…ตระกูลจงร้ายกาจเสียจริง ยั่วยุให้ข้าแข่งขันการฝึกซ้อมกับพวกเขา บอกว่าคนของข้านั้นไม่เลว แต่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลของพวกเขาจะเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร แต่พวกเขาอย่าคิดว่าจะทำสำเร็จในเมื่อต้องฉวยโอกาสนี้ ข้าจึงอยู่ที่นี่จนถึงปีใหม่กินอยู่ในเรือนของเขาจนถึงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้บานจะไว้หน้าไปทำไมกัน…”
“ดีๆ” กัวสวี่หน้าเขียว “ข้ารู้แล้วตอนนี้ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำเชิญคุณชายตามสบาย”
หยางชูยังคงพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ “ใต้เท้ากัว ท่านไม่ช่วยข้าแสวงหาความยุติธรรมหรือ โชคดีที่พวกเรารู้จักกันด้วยคนแซ่จงนั้น…”
“ข้ามาที่นี่เพราะมีภารกิจสำคัญเรื่องของพวกท่านไว้ค่อยคุยทีหลัง”
“ได้” หยางชูดูเสียดายมาก “รอใต้เท้ากัวจัดการธุระเสร็จข้าจะเชิญท่านมาดื่มสุรา”
กัวสวี่คารวะอย่างขอไปทีและไปคุยธุระกับจงซู่
จากรายงานลับของเหลียงจางกล่าวว่าการเคลื่อนไหวของเผ่าทั้งแปดในเป่ยหูเกี่ยวข้องกับสตรีที่อยู่ข้างกายคุณชายหยาง เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะถามโดยตรงผู้อาวุโสกัวจึงตัดสินใจคุยกับตระกูลจง หากมีเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้ตระกูลจงที่ไม่ลงรอยกับหยางชูคงยินดีที่จะบอก หยางชูกลับมายังเรือนรับรองรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป
หมิงเวยถามเขา “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ ผู้อาวุโสกัวผู้นั้นมีปัญหาหรือ”
หยางชูส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จุดประสงค์การมาของเขาไม่ได้ผิดปกติ นอกจากมาดูสถานการณ์ของตระกูลจงที่ซีเป่ยแล้ว ยังมีข่าวที่สืบมาเกี่ยวกับเป่ยหูด้วย ครั้งก่อนที่หลิวกงกงเดินทางมาไม่มีข้อความตำหนิแม้แต่น้อยว่ากันตามข้อเท็จจริงควรไม่ใช่เรื่องของพวกเรา แต่กัวสวี่ถูกลดขั้น และถูกไล่ออกจากเมืองหลวงเพื่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความดีความชอบให้ได้”
“เช่นนั้นเราควรระวังไม่ให้เขารู้อะไรหรือไม่”
หยางชูยิ้ม “พวกเราไม่ได้ทำอะไรที่โดดเด่นแค่อย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองก็พอ” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ฤดูหนาวในซีเป่ยยาวนานมากรอจนหิมะละลายเขาคงเดินทางกลับเมืองหลวง”
หมิงเวยเข้าใจดีก็แค่ถ่วงเวลา แต่ว่า…
“ตระกูลจงคิดเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ”
“สำหรับตระกูลจงแล้วปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี ในกิจการทหารของซีเป่ย ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าไปแทรกแซงพวกเขาตั้งตารอการจากไปของกัวสวี่มากกว่าพวกเราอีก”
เป็นอย่างที่หยางชูคาดเดาตระกูลจงไม่คิดจะสร้างปัญหาเพิ่มเลย กัวสวี่อย่างไรก็เคยเป็นผู้อาวุโสเพราะเรื่องนี้ถึงทำให้เขาถูกลดตำแหน่ง แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาคงถูกเลื่อนยศกลับเพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
เมื่อไล่ทุกคนออกไปจนเหลือเพียงสองพ่อลูกตระกูลจงเมื่อเขาพูดถึงหยางชู จงรุ่ยจึงรู้สึกหงุดหงิด “ใต้เท้ากัว ท่านมาได้จังหวะพอดีเลย คุณชายหยางผู้นั้นช่างไม่ละเอียดอ่อนจริงๆ พวกเราพูดด้วยดีๆ ว่าแข่งฝึกซ้อมเพื่อรู้แพ้ชนะ เขาแพ้แล้ว แต่ไม่ยอมไปจากที่นี่! ที่นี่คือจวนแม่ทัพฝ่ายซ้ายเป็นที่ที่เขาจะกินจะนอนอะไรก็ได้งั้นหรือมันไม่เข้าท่าเลย! ท่านช่วยพูดแทนพวกเราให้เขากลับไปได้หรือไม่”
……………