คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 416 ออกเดินทาง
ทุกคนในตระกูลหยางตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังจะไปที่เนินกรวดกัน พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือที่องค์หญิงใหญ่ และผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหวเป็นผู้คัดเลือก พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงวัยอันควรต้องไปเกณฑ์ทหารเพื่อฝึกฝนจากนั้นก็กลับไปรับใช้หยางชู
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาเป็นทหารที่ผ่านการทำสงครามมาเหตุใดพวกเขาจะไม่ปรารถนาที่จะกลับไปสนามรบเล่า
หนิงซิวได้ยินเรื่องนี้จึงหยิบกระบี่ออกมาเช็ดเงียบๆ อยู่หลายครั้ง เมื่อหยางชูมาถึงสองคนศิษย์พี่ศิษย์น้องนั่งพักครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า
“เจ้าตั้งใจหรือไม่”
“อะไรหรือ”
“หากเจ้าหาจงซู่พบตระกูลจงจะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณอย่างยิ่ง”
หยางชูหัวเราะ “ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ที่อยากไปเนินกรวดหลักๆ คือข้าไม่อยากนั่งรออย่างผู้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นนี้” หนิงซิวคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
หนิงซิวขัดกระบี่จนเป็นประกายจากนั้นสอดกลับเข้าไปในกู่ฉินแล้วพูดว่า “ขอเพียงเจ้าไม่ทำอะไรไม่ดีก็พอ”
ทุกคนเก็บข้าวของแล้วขี่ม้า หยางชูมองหมิงเวยที่เดินตามออกมาแล้วเลิกคิ้ว “ร่างกายท่านยังเย็นอยู่อากาศเย็นเช่นนี้อย่าออกไปเลย”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านไม่อยากนั่งรอแน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากนั่งรอเช่นกัน นอกจากนี้ท่านออกไปเช่นนี้ข้าไม่วางใจหากเกิดอะไรขึ้นมาอยู่ด้วยกันคงดีกว่า”
ต่อหน้าผู้คนมากมายนางพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่หยางชูกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เขาพูด “หากท่านอยากไปย่อมได้ แต่สวมเสื้อผ้าหนาๆ สักหน่อยอย่าลืมสวมเกราะอ่อนด้วย”
หมิงเวยกระชับเสื้อคลุมแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าสวมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ประตูไป๋เหมินเซี่ยเปิดขึ้นอีกครั้งม้าหลายสิบตัวออกจากประตูมุ่งหน้าไปทางเหนือไปตลอดเส้นทางหลัก จงรุ่ยเดินออกมาส่งพวกเขาเป็นพิเศษตอนนี้เขามองดูแผ่นหลังของพวกเขาค่อยๆ หายไปในหิมะด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ว่ากันว่าคุณชายหยางเป็นคนเหลวไหลไร้แก่นสาร ข้าไม่ได้คาดหวังว่าตอนนี้เขายินดีจะเสี่ยงชีวิตเพื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทหารเข้าร่วมรบรู้สึกเสียใจมาก “ข้าไปเมืองหลวงเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ยินชื่อเสียงชอบก่อเรื่องของคุณชายหยางเลยคิดว่าเป็นแค่ผู้ที่ไร้ความสามารถที่มีดีแต่รูป แต่พอได้พบตัวจริงถึงได้รู้ว่าข่าวลือมันผิดไปเพียงใด น่าเสียดายเหตุใดสถานะของเขาถึงไม่สามารถแพร่งพรายได้กัน”
จงรุ่ยพูดเสียงเบา “ถึงสถานะของเขาถูกแพร่งพรายก็ไม่มีโอกาสนั้นหรอก ฝ่าบาทมีโอรสหลายพระองค์ ตำแหน่งจะมาตกที่เขาได้อย่างไร”
เมื่อลองคิดดูอีกทีก็พูดว่า “ไม่ว่าเบื้องบนจะต่อสู้กันอย่างไรพวกเราตระกูลจงก็จะปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษ จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแผ่นดินเรื่องนี้ท่านห้ามพูดขึ้นอีกนะ”
ทหารผู้นั้นพยักหน้ารับคำเขาถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งรู้อยู่ในใจว่าไม่เพียงแต่หยางชูไม่มีโอกาส แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะรักษาชีวิต
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปรายงานจากด่านหนิงอี้น่าจะมาถึงแล้ว”
…………
เวลานี้กัวสวี่เองก็อยู่บนกำแพงเมืองเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกับจงรุ่ย
เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วมองไปยังทิศทางที่หยางชู และคนอื่นเดินทางออกไป หลานชายของเขาถามอย่างไม่แน่ใจ “ท่านลุงหก ท่านไม่ดีใจหรือ”
กัวสวี่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าแค่เดาไม่ออกคุณชายหยางคิดจะทำอะไรกันแน่”
หลานชายพูดว่า “เสี่ยงอันตรายฝ่าหิมะไปทางเหนือเช่นนี้คงไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรหรอกใช่หรือไม่ อย่างไรที่นั่นก็เป็นแนวหน้า อีกทั้งหิมะตกหนักหากไม่ระวังก็ถือว่าเอาชีวิตไปทิ้ง” เขาพูดอีกว่า “ไม่คิดว่าคุณชายหยางจะเป็นคนชอบธรรมเช่นนี้ ขนาดตระกูลจงเองยังไม่กล้าส่งคนออกไปง่ายๆ แต่เขากลับอาสาออกไปทันที”
คิ้วของกัวสวี่ยังคงขมวดไม่หาย แม้แต่คำพูดดีๆ ของหลานชายยังทำให้เขาสงสัยมากขึ้น ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะซื้อใจผู้คนดูอย่างหลานชายของเขาสิ ติดตามเขามาทุกวันนี้ไม่มีความประทับใจต่อคุณชายหยางเลยสักนิด แต่กลับเริ่มพูดสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเขาแล้ว ผู้อาวุโสกัวสวี่หน้าใหญ่ผู้ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงสงสัยทุกอย่างโดยสัญชาตญาณ
…………
การเดินบนหิมะเป็นเรื่องยากมากจากไป๋เหมินเซี่ยไปจนถึงเนินกรวด หากใช้ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวัน แต่เดินเท้าพวกเขาใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะไปถึง
หยางชูถอนหายใจ “หากแม่ทัพจงถูกหิมะฝังจริงๆ ศพก็จะแห้งเป็นเวลาหลายวัน”
หมิงเวยพูดไปเรื่อย “ข้าเห็นว่ารอบกายเขามีแต่ความโชคดีคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอกเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจถูกหิมะปิดกั้น แต่ไม่สามารถออกไปได้”
หยางชูถามว่า “แล้วโชคชะตาของพวกเราเป็นอย่างไรเขาไม่เป็นอะไร แต่พวกเราคงไม่โชคร้ายแทนหรอกนะ”
หมิงเวยหัวเราะ “รูปลักษณ์ของท่านไม่สอดคล้องกับโชคชะตาจะดูให้แน่ใจได้อย่างไรเจ้าคะ อย่างไรเสียก็ดูไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ อย่าได้กังวลไปเลย”
หยางชูพึมพำ “คำพูดนี้ไม่น่าฟังเลยจริงๆ…”
“หากไม่ง่ายที่จะพูดดีๆ เช่นนั้นหากข้าพูดเรื่องดีๆ ให้ฟังตอนนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ”
หยางชูรีบโบกมือ “ช่างเถอะ อยู่ๆ ทำตัวเป็นร่างทรงทำไมกัน”
หมิงเวยยิ้มแล้วหันไปหาหนิงซิว “อาจารย์ พวกเราไปสำรวจพื้นที่สักหน่อยดีหรือไม่”
“ได้” หนิงซิวตอบรับ
คนกลุ่มหนึ่งลงจากหลังม้า หาสถานที่หลบลมเพื่อฝังหม้อต้มน้ำ และพักผ่อน หมิงเวยและหนิงซิวใช้วิชาตัวเบามองหาที่สูงเพื่อสังเกตลักษณะพื้นที่ภูเขาทั้งสองคนยืนอยู่บนทางลาดสูง และมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้กว้างไกล
หมิงเวยพูดว่า “ภูเขาลูกนี้มีแนวโน้มเป็นค่ายทหารลับ ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เคยบอกกับข้าว่าสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลล้วนมาจากภูเขาและแม่น้ำเป็นเช่นนี้นี่เอง”
หนิงซิวมองนางด้วยสายตาแปลกๆ
“ทำไมหรือเจ้าคะ ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
หนิงซิวส่ายหน้า “ตอนเด็กท่านอาจารย์ก็เคยพูดเช่นนี้กับข้าเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หมิงเวยจึงถามว่า “อาจารย์ ท่านคิดหรือไม่ว่าเคล็ดวิชาที่พวกเราร่ำเรียนมาค่อนข้างคล้ายกันทีเดียว” หนิงซิวพยักหน้า
“แปลกจริงๆ อาจารย์ของข้าเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว…”
“ข้าก็ด้วย” หนิงซิวพูด “ถึงแม้ท่านอาจารย์จะรับศิษย์มาสองคน แต่เคล็ดวิชาถูกส่งต่อมาให้ข้า ศิษย์น้องเรียนรู้เพียงวิชากระบี่เท่านั้น”
“แต่อาจารย์ก็ไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้ง”
หนิงซิวพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ได้สนใจเคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้งเพียงนั้น ระดับของข้าห่างจากท่านอาจารย์อยู่หลายขุม เคล็ดวิชาของเจ้าอยู่สูงกว่าข้ามาก แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เหมือนกัน บางครั้งข้าก็สงสัยว่าเจ้าอาจเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์”
หมิงเวยครุ่นคิด หนิงซิวไม่รู้ว่านางมาจากหลายสิบปีให้หลัง และเมื่อมองจากมุมมองปัจจุบันจะเดาอาจารย์ของนางไม่ออกก็เป็นเรื่องธรรมดา มีความคล้ายคลึงกันมากเกินไปจนหมิงเวยอดคิดไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นไปได้
ในแง่ของอายุหนิงซิวก็ห่างจากอาจารย์ของท่านอาจารย์ไม่มาก
อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์เพียงส่งต่อนามของอาจารย์ของเขามาก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าหนิงซิวเป็นนามของเขาก่อนที่จะออกบวชหรือไม่
เมื่อคำนวณเวลาที่ท่านอาจารย์คนแรกจะนำปรมาจารย์แห่งชีวิตกลับคืนมาก็อีกไม่นานมากนัก หากใส่ใจสักเล็กน้อยก็น่าจะรู้ได้ว่าการเดานี้จริงหรือไม่ ทางด้านหนิงซิวหยิบกิ่งไม้ และวาดลวดลายบนหิมะ
เมื่อวาดเสร็จก็เรียกหมิงเวยเข้ามาหา “เจ้าดูสิ ข้าวาดถูกหรือไม่ ประตูลับทั้งแปดนี้หากสามารถคำนวณประตูแห่งชีวิตได้ไม่แน่อาจจะหาแม่ทัพจงพบก็เป็นได้”
หมิงเวยมองอย่างละเอียดจากนั้นวาดเพิ่มเติมเล็กน้อย และพูดคุยกับเขา “นี่คือจิงเหมิน นี่คงเป็นซิวเหมิน หากเชิงเหมินคงเป็น…ที่นี่”
หนิงซิวชี้ที่อื่น “ไคเหมินอยู่ที่นี่ สือเหมินอยู่ตรงนี้ พวกเราเลี่ยงสือเหมิน เข้าจากไคเหมินไปซิวเหมินก็จะไปถึงเชิงเหมินจะปลอดภัยที่สุด”
“ไปกันเถอะ พวกเราต้องเร่วความเร็วหิมะตกหนักมากมันจะไม่ดีถ้าประตูทั้งแปดเกิดการเปลี่ยนแปลง”
……………