คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 418 คุ้นเคย
เช้าวันรุ่งขึ้นหมิงเวยและหนิงซิวออกไปสำรวจที่ภูเขาอีกครั้ง ที่นี่สามารถมองเห็นเนินกรวดได้เพียงเล็กน้อย พวกเขาคำนวณเส้นทางแล้วกลับมาบอกว่า
“เส้นทางสายนี้น่าจะผ่านไปได้ แต่ถ้าเดินทัพอาจมีอันตรายซ่อนอยู่”
จงซู่ถาม “อันตรายอะไรหรือ”
“พื้นที่โดยรอบไม่มั่นคง และหิมะกองอย่างหนาแน่นทำให้ง่ายต่อการที่หิมะจะถล่มอีกครั้ง หากเกิดขึ้นจริงๆ เป็นไปได้ที่พวกเราจะถูกตัดขาดจนหาทางออกไม่ได้”
เนินกรวดสูญเสียการป้องกันแล้วหากกำลังเสริมถูกตัดอีกครั้ง พวกเขาจะติดอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องไปข้างหน้าเท่านั้น และไม่สามารถถอยกลับได้
จงซู่ครุ่นคิดอยู่นานและพูดว่า “หากตอนนี้ไม่ไปที่เนินกรวดเกรงว่าจะพลาดโอกาสนี้”
หยางชูเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย “คนของข้าไม่มีปัญหาท่านตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอย่างไร”
จงซู่พยักหน้าแล้วคำนับให้หมิงเวยกับหนิงซิว “รบกวนท่านทั้งสองแล้ว”
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือกลับไปตามทางที่พบอย่างไรก็ตามเนินกรวดก็สูญเสียการป้องกันไปแล้ว ถนนถูกน้ำแข็งและหิมะปิดกั้นจึงยอมให้หูเหรินครอบครองได้ตลอดฤดูหนาวจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม และถ้าเขากลับไปตราบใดที่เผ่าซีหรงถูกปราบปรามได้ในทีเดียว ชายแดนซีเป่ยก็ยังคงแข็งแกร่งจนไม่สามารถตีแตกได้
อย่างไรก็ตามจงซู่ก็ยังคิดที่จะส่งกองกำลังไปที่ทุ่งหญ้า เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะออกคำสั่ง อุปนิสัยของบุรุษผู้นี้เขารู้อยู่แก่ใจถึงจะดูใจดี แต่จริงๆ แล้วเป็นคนขี้ขลาดเพราะกลัวว่าตนเองจะทิ้งจุดบกพร่องให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในรัชสมัยของพระองค์ดังนั้นจึงใช้วิธีปกครองโดยเมตตาธรรม บริหารปกครองด้วยกฎหมายและวิชาการ ส่วนในเรื่องของการทหารนั้นไม่ต้องการจะมีคุณงามความชอบอะไร หวังแต่เพียงไม่มีความผิดก็ดีแล้ว
เรื่องนี้ไม่มีอะไรไม่ดีฮ่องเต้ที่รู้ข้อบกพร่องของตนเองดีนั้นดีกว่าการทำตามอำเภอใจและสุรุ่ยสุร่าย แต่จงซู่เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีเพียงนี้หากใช้ประโยชน์จากความโกลาหลครั้งใหญ่นี้ยกทัพไปทางเหนืออาจสามารถรวมทุ่งหญ้าเข้ารวมเป็นแผ่นดินเดียวกันได้
การขยายอาณาเขตเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นแม่ทัพ และจะถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์อย่างแน่นอนถือเป็นความสำเร็จที่รุ่งโรจน์
ดังนั้นทันทีที่เขาได้ยินว่าหูเหรินบุกโจมตีเขาก็คิดว่าจะใช้โอกาสนี้ส่งทหารยกทัพไปที่ทุ่งหญ้า
การก่อกบฏของเผ่าซีหรงดูเหมือนจะมีแรงกดดันเป็นอย่างมากในตอนนี้ แต่ฐานของกองทัพซีเป่ยอยู่ที่นั่นมีแม่ทัพผู้มีความสามารถโผล่ออกมาไม่ขาดสาย เกรงว่าหากตนไม่อยู่ปกป้องที่นั่นก็จะรับมือยาก หากเสียโอกาสส่งทหารไปที่ทุ่งหญ้าก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
หยางชูรู้ความคิดของจงซู่จึงพูดกับหมิงเวยไม่กี่คำ “ตระกูลจงอยู่มาสามชั่วอายุคนแล้วมันเป็นเรื่องดีที่มีความกระตือรือร้น แต่น่าเสียดาย…”
หมิงเวยปลอบเขา “อย่างน้อยก็ยังดีกว่าประวัติศาสตร์ที่ข้ารู้ไม่ใช่หรือ พวกเราไม่ต้องรีบหรอกค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเจ้าค่ะ”
“อืม” หยางชูกระชับเสื้อคลุมของนางให้แน่นขึ้น “อย่าปล่อยให้ตัวเย็นเกินไป หากหนาวก็ใช้ศิษย์พี่ไปคนเดียว”
หมิงเวยพูด “หากอาจารย์รู้เขาคงโกรธนะเจ้าคะ”
หยางชูมั่นใจ “เขาเป็นลูกผู้ชายแท้ๆ ลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ แน่นอนว่าไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ใช้เวลาหนึ่งวันในการจัดการแก้ไขปัญหาจงซู่ก็นำทหารที่เหลือออกเดินทาง
ทหารหลายพันคนกระจัดกระจายปากของพวกเขาถูกปิดไว้จึงไม่กล้าส่งเสียงใดๆ และเดินไปบนหิมะอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะเดินทางไปยังเนินกรวดการเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องสำเร็จ ท้ายที่สุดถนนที่ถูกปิดกั้นเส้นทางขนส่งเสบียงถูกตัดขาด เสบียงอาหารที่พวกเขานำมาก็อยู่ได้ไม่นาน
หมิงเวยและหนิงซิวเดินออกจากลุ่มเป็นครั้งคราวเพื่อสำรวจพื้นที่หากประมาทเลินเล่ออาจมีหลายพันคนเสียชีวิตได้
ในขณะที่กองทัพแคว้นฉีกำลังเดินไปบนหิมะมีคนสามคนยืนอยู่บนเนินเขาที่ไม่โดดเด่น หากหมิงเวยอยู่ที่นี่คงสามารถจำได้ทันทีว่าสามคนนี้เป็นใคร
ซูถู หัวหน้าเผ่าหูคนใหม่ องค์หญิงหย่งชิง และขันทีเก่าชื่อจงจี๋
“เจ้าคำนวณได้แม่นยำ จงซู่เลือกที่จะเดินทางไปเนินกรวดต่อไม่คิดกลับ” องค์หญิงหย่งชิงห่มขนสัตว์มองไปที่ร่างที่เคลื่อนไหวในระยะไกล
ในเวลาเพียงครึ่งปีรูปลักษณ์ของซูถูแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก
เขาแต่งกายด้วยชุดหนังกะทัดรัดดูมีราคาหมวกประดับด้วยอัญมณีขนาดใหญ่ ใบหน้างดงามนั้นเย็นชา และเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย ยามเขาขว้างมีดแม้ว่าจะไม่ได้เปิดเผยโดยเจตนา แต่ใบหน้าของเขายังคงมีเจตนาฆ่า
“หากสามารถเหยียบเข้าทุ่งหญ้าได้ ตราบใดที่เขายังเป็นแม่ทัพที่มีความทะเยอทะยานเขาจะทนต่อสิ่งล่อใจนี้ไม่ได้”
องค์หญิงหย่งชิงพยักหน้า และกล่าวด้วยความพึงพอใจ “เจ้ามีวิสัยทัศน์เช่นนี้ สมแล้วที่จะเป็นสายเลือดของตระกูลเฉิน” ซูถูดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้ แต่เขาแค่ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรมาก
“ทางด้านเผ่าซีหรงมีปัญหาอะไรหรือไม่”
ซูถูตอบว่า “มีน่าซูอยู่จะต้องไม่มีปัญหาแน่” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วถามว่า
“ช่างน่าแปลกใจเสียจริงที่คนของท่านสามารถยุยงเผ่าซีหรงได้”
องค์หญิงหย่งชิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้วในตอนที่ข้าถูกสบประมาท ข้าก็ตัดสินใจได้ว่าจะเอาทุกอย่างไว้ในมือหากไม่ใช่เพราะพ่อของเจ้าไม่มีความสามารถหมากพวกนี้คงมีประโยชน์ตั้งนานแล้ว”
ซูถูไม่เห็นด้วย “แคว้นฉีในช่วงแรกแข็งแกร่งมากแม้ว่าท่านจะทำเช่นนั้นก็ยากที่จะสำเร็จ”
เขาพูดออกไปเช่นนั้น แต่องค์หญิงหย่งชิงกลับไม่โกรธ นางยิ้มตอบแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการบอกว่าโชคชะตาเป็นของเจ้างั้นหรือ”
ซูถูตอบ “คนจงหยวนเชื่อในเรื่องโชคชะตา แต่ข้าคิดว่าไม่มีโชคชะตาใดที่ดีเท่ากับการต่อสู้เพื่อตัวเองไม่เช่นนั้นผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นอูต๋าไม่ใช่ข้า”
อูต๋าเป็นบุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะ เดิมทีเป็นเขาที่ต้องได้รับสืบทอดหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะ แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนองค์ชายใหญ่อูต๋ากลับถูกซูถูฆ่าตาย
องค์หญิงหย่งชิงชื่นชมความแข็งแกร่งของเขา “เจ้ามีความคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งองค์หญิงหย่งชิงก็ถามจงจี๋ “ใกล้หรือยัง”
จงจี๋ลังเลเล็กน้อย “องค์หญิงพวกเขาเลือกเส้นทางนี้เป็นอย่างดี หากต้องการฝังคนทั้งสามพันคน ความเป็นไปได้ต่ำมากบ่าวเห็นว่าตอนนี้อย่างมากคงฝังได้แค่ไม่กี่ร้อยคน”
องค์หญิงหย่งชิงไม่พอใจ “แค่ร้อยคนมันจะไปมีประโยชน์อะไร” จงจี๋ก้มหน้ารับฟังนาง
สายตาของซูถูมองข้ามหุบเขามองไปที่ร่างที่ลอยขึ้นลงมาเป็นครั้งคราวและพูดเสียงเบา “มีนางอยู่ด้วยเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะฝังพวกเขาได้หรอก”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้องค์หญิงหย่งชิงยิ่งโกรธเคืองมากขึ้น “ครั้งนี้ข้าจะจับเด็กนั่นมาทรมานให้ได้!”
เรื่องที่ทั้งแปดเผ่าเข่นฆ่ากันเองถือว่าช่างมันไป องค์หญิงหย่งชิงไม่สงสารชีวิตของหูเหริน และแม้หลังจากทำเช่นนั้นนางจะมีความสุขที่แก้แค้นสำเร็จ แต่เด็กนั่นกลับขโมยหยกเสวียนหมิงซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข!
ซูถูทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดขององค์หญิงหย่งชิงดังนั้นเขาคำนวนอยู่ในใจ และพูดกับจงจี๋ “คนน้อยไม่เป็นไรคิดหาวิธีที่จะตัดแนวหลังของพวกเขา และแยกพวกเขาออกจากกัน”
จงจี๋มององค์หญิงหย่งชิง องค์หญิงหย่งชิงถามเขา “มีวิธีหรือ”
ซูถูส่ายหน้า “ไม่แน่ใจแต่ก็ต้องทำเราไม่ควรพลาดโอกาสนี้ หากไม่มีทางลัดก็ยกกระบี่ฟาดฟันไปตรงๆ เลย”
องค์หญิงหย่งชิงแย้งไม่ออกจึงพยักหน้า “ไปเถอะ!”
จงจี๋โค้งคำนับ “ขอรับ”
เขากระโดดขึ้นเงาร่างนั้นข้ามภูเขาไปฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ ราวกับนกนางแอ่น ร่างของจงจี๋หายไปในพริบตา
ในเวลาเดียวกันงูขาวตัวเล็กในแขนเสื้อของหมิงเวยรีบเลื้อยออกมา และพูดว่า “นายท่าน ดูเหมือนข้าจะได้กลิ่นที่คุ้นเคยเจ้าค่ะ!”
……………