คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 432 ร่วมมือกับศัตรู
การปิดล้อมครั้งนี้กินเวลาสองวันเนื่องจากกองทัพหูมีจำนวนมากเกินไปจึงหยุดลงช้าๆ ตกกลางคืนกัวสวี่ยังคงนั่งดื่มอยู่ในหอประตูเมือง ผู้ที่ดื่มกับเขาคือทหารระดับล่างที่รับผิดชอบในการปกป้องเขา
ในเมืองที่ถูกปิดล้อมสุราเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม เว้นแต่เพียงดื่มไม่กี่คำเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นผู้อื่นก็แบ่งให้ไม่ได้
สุราไหลผ่านลำคอจนกัวสวี่สำลักและไอออกมาซึ่งทำให้ทหารระดับล่างหัวเราะไม่หยุด “ใต้เท้าไม่เคยดื่มสุรามาก่อนหรือ”
กัวสวี่โบกมือ “จะไปเคยได้อย่างไรตอนเด็กข้ายากจนมาก ฤดูหนาวเผาถ่านไม่ได้ ต้องอ่านหนังสือกลางดึกทุกวัน อากาศหนาวจนไม่สามารถเอื้อมมือออกมาได้ ได้แต่แอบจิบสุราเล็กๆ น้อยๆ แค่กๆ สัมผัสรสเปรี้ยวนั้น…หลังจากนั้นพอได้เข้าร่วมการสอบกว่าจะได้เข้าไปในสำนักราชบัณฑิตหลวงไม่ง่ายเลยเพราะขุนนางระดับสูงไม่ชอบจึงเลิกไปสุดท้ายข้าก็ไม่ได้ดื่มมันมายี่สิบปีแล้ว”
ทหารนายนั้นประหลาดใจ “ที่แท้ใต้เท้ากัวเกิดในครอบครัวยากจนหรอกหรือ”
กัวสวี่แค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่าผู้ที่เป็นขุนนางมีชื่อเสียงอำนาจตั้งแต่เกิดทุกคนหรืออย่างไร ข้าเคยลำบากมาก่อนดังนั้นตอนนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นจึงไม่รู้สึกละอายใจเพราะข้าทำงานหนักเพื่อได้มันมา!”
แล้วเหตุใดเขาถึงตกลงมาก็เพราะมีปัญหาเรื่องชู้สาวอย่างไรเล่า วัยหนุ่มยิ่งโลภมากยิ่งเสียใจ เฉิงซินเยว่เด็กสาวข้างบ้าน ในตอนนั้นครอบครัวยากจน แต่พอมองอีกทีเขาถูกเพื่อนบ้านชี้หน้าด่าต่อมาเมื่อเขาโตขึ้นกลับอยากจะแต่งงานกับตนเพื่อรับใช้มารดา ไหนตอนแรกผู้ใดบอกว่ามารดาเขาไม่โชคดีพอที่จะให้ลูกสะใภ้ปรนนิบัติอย่างไรเล่า
หลังจากพูดถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านี้แล้วด้วยฤทธิ์สุรา กัวสวี่ปาดน้ำตา และพูดว่า “น้องชาย บอกตามตรงว่าเมื่อข้ามาถึงที่รกร้างแห่งนี้ก็แค่อยากให้ท่านแม่ ลูกสะใภ้ และลูกๆ ได้มีชีวิตที่ดี จึงอยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองไม่อยากได้อะไรมากกว่านี้ แต่ถ้าเรารักษามันไว้ไม่ได้แม้กระทั่งชีวิตจะดูแลพวกเขาได้อย่างไร…”
นายทหารรู้สึกเศร้าใจ “ที่ใต้เท้ากล่าวมาก็ถูกพวกเราพยายามอย่างหนักอยู่ด้านนอก แค่ต้องการสร้างชีวิตที่ดีให้ครอบครัวของเรา และสร้างอนาคตที่ดีให้กับตัวเอง”
สถานะของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก แต่กลับกลายเป็นพี่น้องปรองดองกันอย่างรวดเร็ว หลังจากดื่มสุราเสร็จนายทหารผู้น้อยก็กอดกัวสวี่แล้วตะโกนเรียกพี่ชาย “ข้าเคยคิดว่าข้าราชการพวกนั้นน่ารังเกียจไม่คิดว่าจะมีคนอย่างพี่ชายอยู่ด้วย วันนี้คำพูดของพี่ชายที่บอกกับข้าออกจากก้นบึ้งของหัวใจ ข้าเองก็จะพูดกับพี่ชายจากก้นบึ้งของหัวใจเช่นกัน ตราบใดที่น้องยังมีชีวิตอยู่จะไม่ปล่อยให้ธนูของหูเหรินสัมผัสตัวท่านแน่!”
กัวสวี่หัวเราะ “น้องชายพูดแล้วรักษาคำพูดด้วย! ชีวิตของข้ามอบให้แก่เจ้าแล้ว!”
“น้องชายแสนดีจนข้าไม่รู้จะพูดอะไรเลย!” ทั้งสองยังคงร้องเพลงต่อไป
“บุรุษยามเกิดมาบนโลกนี้ตระหนักได้ว่าต้องตอบแทนตัวเองในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต ต้องออกรบพิชิตสงครามจะอยู่ปกป้องบ้านเกิดของตนตลอดชีวิตได้อย่างไร…”
ร้องไปร้องมาทหารที่ยังไม่หลับก็มาร่วมร้องเพลงคร่ำครวญด้วยกันเสียงร้องคร่ำครวญดังก้องบนกำแพงทำให้เกิดบรรยากาศที่เคร่งขรึม
ในหอสังเกตการณ์หมิงเวยถาม “ผู้อาวุโสกัวเกิดในครอบครัวยากจนหรือเจ้าคะ”
หยางชูถอนหายใจพูดอย่างเหยียดหยาม “เขาแต่งเรื่อง! เขาไม่ได้มีชื่อเสียงอำนาจก็จริง แต่เขามีที่ดินหลายร้อยไร่เป็นครอบครัวเศรษฐีเล็กๆ จะไปทำให้เด็กสาวข้างบ้านพอใจได้อย่างไร และที่ถูกชี้หน้าด่าก็เพราะเขามีปัญหาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม แม้แต่สาวใช้ฝนหมึกยังรับเป็นอนุเลยพูดเรื่องไร้สาระนี้ขึ้นมาโดยไม่ละอายสักนิด!”
“ท่านรู้เรื่องราวเป็นอย่างดีมาก”
“แน่นอน ข้อมูลประเภทนี้หวงเฉิงซือมีเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”
หมิงเวยยิ้ม “ผู้อาวุโสกัวปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์เขาเคยดูถูกทหารมาก่อน แต่ตอนนี้กลับผูกมิตรกับทหารชั้นผู้น้อยดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว!”
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าอยากหลอกเขาให้กระโดดลงไปในหลุม แต่ต้องรอก่อน ก่อนเริ่มการต่อสู้ซูถูไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่”
……….
ซูถูเริ่มการโจมตีครั้งแรก และไม่ประสบความสำเร็จกลับมาโดยรู้ว่าเขาจะไม่สามารถโจมตีเนินกรวดได้ในระยะสั้น
เขาไม่รีบร้อนฝั่งทหารคุ้มกันเมืองยิ่งคุ้มกันมากเท่าไรขวัญกำลังใจยิ่งลด ปล่อยให้เวลาผ่านไปเสียเปล่าๆ ดีกว่า
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเป็นบางครั้งแล้วแต่ละฝ่ายก็ถอยกลับ กัวสวี่คุ้นเคยกับการขึ้นกำแพงเมืองเพื่อชมการต่อสู้แล้ว และตอนนี้แม้ว่าลูกธนูจะหันหน้าเข้าหาเขา เขาก็สามารถเผชิญหน้าได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
ในขณะที่ชมการต่อสู้เขาก็เขียนสมุดที่ถืออยู่อย่างรวดเร็ว เหล่าทหารที่ปกป้องเมืองก็คุ้นเคยกับการมีอยู่ของเขาเช่นกัน และยังช่วยปกป้องเขาไม่ให้ถูกลูกศรยิงใส่ด้วย
ทุกวันกัวสวี่มักจะขีดข่วนบนผนังด้านนอกของหอสังเกตุการณ์ เขาอยู่ที่นี่มาได้สามสิบวันแล้ว พอออกมาเดินข้างนอกกลางดึกก็เห็นทหารสองคนซ่อนตัวอยู่ที่มุมกำแพงเมือง และกระซิบกระซาบกันมีชะโงกหน้าออกมาดูเป็นครั้งคราว และหนึ่งในสองคนนั้นกำลังดึงเชือกขึ้น
“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ” กัวสวี่ตะโกน
ลอบติดต่อศัตรูอย่างลับๆ งั้นหรือ พวกเขาปกป้องประตูเมืองอย่างแน่นหนา หากพวกเขาปล่อยให้ทหารตัวเล็กสองคนดึงศัตรูขึ้นมา การโจมตีจากภายในไม่ได้เป็นการทำลายผลงานที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณหรอกหรือ!
เขาตะโกนเสียงดังทหารผู้นั้นตัวสั่นด้วยความกลัว และเมื่อเขาปล่อยมือ ของสิ่งนั้นก็ล้มลง
ทหารเฝ้ายามคนอื่นๆ ได้ยินเสียงก็รีบเข้ามา
“ใต้เท้ากัว เกิดอะไรขึ้นหรือ” ทหารเหล่านี้คุ้นเคยกับกัวสวี่เป็นอย่างดี
กัวสวี่ชี้ทหารทั้งสองด้วยความโกรธ “พวกเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าจะดึงอะไรขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ไม่ใช่ว่าขณะที่เฝ้ายามตอนกลางคืน คนทั้งกลุ่มต้องอยู่ด้วยกันหรอกหรือ หากข้าไม่เห็นเสียก่อนก็อาจเกิดภัยร้ายขึ้น!”
แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้ากวาดตามองและถามอย่างฉุนเฉียว “หัวหน้ากลุ่มของพวกเจ้าล่ะ เหตุใดถึงมีแค่สองคน”
ทหารในกลุ่มของเขาหมอบลงบนขอบกำแพงเมือง และมองออกไปพร้อมกับร้องอุทาน “ใต้เท้า เป็นหูเหรินขอรับ!”
ทหารทั้งสองหน้าซีดด้วยความตกใจ และพูดอย่างเร่งรีบ “ใต้เท้า พวกเรามีข้อมูลภายใน…”
“ข้อมูลภายในอะไรก็ไม่อาจต้านคำสั่งทหารได้” แม่ทัพกดกระบี่ในมือ “รีบไปเรียกหัวหน้าของพวกเจ้ามา!”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” เสียงงัวเงียดังมาจากภายในหอสังเกตการณ์จากนั้นหยางชูก็ออกมา “เกิดอะไรขึ้น เสียงดังมาก”
“คุณชายหยาง” กัวสวี่พูดแทรก “ท่านอยู่ที่นี่หรือ เหตุใดถึงไม่เห็นอะไรเลย ทหารสองคนนี้ลอบติดต่อกับศัตรู! หากข้าไม่ระวังตัว เมืองที่พวกเราปกป้องมาหลายวันอาจถูกช่วงชิงไปแล้ว”
“ลอบติดต่อกับศัตรูงั้นหรือ” หยางชูเหลือบมองพวกเขา และแตะคางด้วยความประหลาดใจ “ท่านเข้าใจผิดแล้วนั่นเป็นคนของข้า”
แม่ทัพให้คนดึงเชือกขึ้นซึ่งมีตะกร้าใบเล็กผูกติดอยู่
“เป็นการติดต่อกับศัตรูแน่นอน!” กัวสวี่โกรธจัด “คุณชายหยาง ท่านหละหลวมเกินไปแล้ว! หรือว่าท่านต้องการติดต่อกับศัตรูกัน”
หยางชูยิ้มเยาะ “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรท่านดูของให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดดีกว่า”
กัวสวี่เปิดฝาและเห็นโถกระเบื้องหนา ๆ อยู่ข้างในซึ่งดูคุ้นเคย และเมื่อเขาเปิดมัน…
“ผักดองงั้นหรือ” หัวหน้าลาดตระเวนกลางคืนทำสีหน้าอธิบายไม่ถูก “คุณชายหยาง ท่านเอาผักดองมาทำอะไร”
“แลกอาหารกับหูเหรินอย่างไรเล่า! วันๆ กินแต่ผักดองพวกเจ้าไม่เบื่อหรือ พวกเขามีเนื้อแกะนะ!”
……………