คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 436 ของจริง
ลมแรงวางเพลิงเย้ยฟ้า ฆาตกรรมคืนเดือนมืด
หยางชูเปลี่ยนชุดเกราะและพูดกับคนสองคนในห้องว่า “แพ้ชนะขึ้นอยู่กับคราวนี้ คืนนี้เราต้องระวังเป็นพิเศษการทำภารกิจให้สำเร็จเป็นเรื่องสำคัญชีวิตของตนเองก็สำคัญไม่แพ้กัน”
หมิงเวยพูด “ท่านดึงดูดความสนใจในที่สว่างซึ่งอันตรายกว่าพวกเรามาก ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ”
หยางชูเลิกคิ้ว “วางใจเถอะ ข้าไม่ปล่อยโอกาสให้ท่านไปหาผู้อื่นหรอก! ต้องมีชีวิตกลับมาแน่นอน”
หมิงเวยหุบยิ้ม “ท่านกล้าให้ผู้อื่นฟังเหตุผลนี้หรือเจ้าคะ”
“เหตุใดจะไม่กล้า” หยางชูมั่นใจ “ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขายินดีที่จะสวมหมวกเขียว[1]บนหัวหรอก!”
“…” หนิงซิวทนไม่ไหวจนต้องกลอกตา ไร้ยางอายจริงๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้ยังคิดแต่ว่าสวมหมวกเขียวหรือไม่อีก
“งั้นข้าไปล่ะ” หยางชูพูดอย่างไม่เต็มใจ แต่ยังจำได้ว่าห้องนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย จึงถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่ ท่านมีอะไรอยากพูดหรือไม่”
หนิงซิวพูดเสียงเย็นชา “พวกเจ้าสองคนคุยกันเสร็จแล้วข้าจะมีอะไรต้องพูดอีกเล่า”
หยางชูไม่ได้สัมผัสถึงอารมณ์ไม่ดีจากอีกฝ่ายหรือรู้สึกถึง แต่ทำเป็นไม่รู้กันแน่ เขายิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะออกไปรวมกองกำลังรอสัญญาณจากพวกท่านแล้วกัน”
เมื่อเขาจากไปหมิงเวยหยิบห่อพัสดุสองห่อที่เตรียมไว้นานแล้วจากนั้นส่งให้หนิงซิวห่อหนึ่ง “ข้าพร้อมแล้วอาจารย์มีอะไรต้องเตรียมอีกหรือไม่เจ้าคะ”
หนิงซิวส่ายหน้า “เคล็ดวิชาข้าด้อยกว่าท่านฟังคำสั่งท่านก็พอ”
หมิงเวยพูด “เคล็ดวิชาของท่านกับข้ามีที่มาเดียวกันได้ร่วมงานกันซึ่งสะดวกกว่ามาก น่าเสียดายที่กำลังคนน้อยไปหน่อยคืนนี้เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่เจ้าค่ะ”
หนิงซิวพูดเสียงขรึม “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อใกล้เวลาแล้วทั้งสองออกจากห้อง และแตะขอบกำแพงเมืองอย่างเงียบๆ จากมุมนี้อยู่ห่างไกลมากพวกเขาไม่รบกวนทหารเฝ้าเวรฝั่งตนเองให้ตกใจ เพียงแต่ลอยตัวลงมาเงียบๆ ดั่งนกกลางคืน
เมื่อทั้งสองมาถึงบนยอดเขาหมิงเวยพูดว่า “นกไม้อยู่ในห่อ หากอาจารย์เห็นสัญญาณก็ทำตามที่คุยกันไว้ได้เลย”
หนิงซิวพยักหน้าเขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย “หรือพวกเราจะเปลี่ยนกัน วรยุทธ์ของท่านด้อยกว่าข้า อีกทั้งยังเป็นสตรีการเข้าค่ายศัตรูคงไม่สะดวกเท่าข้า”
หมิงเวยยกหีบห่อในมือ และพูดอย่างตรงไปตรงมา “นี่เป็นค่ายกลที่ซับซ้อนที่สุดที่ข้าเคยใช้ไม่เพียงแต่เวลาที่บีบคั้น แต่ยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอีกด้วย อาจารย์ไม่เข้าใจเคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้งเกรงว่าจะจัดการกับมันไม่ได้” หนิงซิวถอนหายใจ
“ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ท่านต้องทำก็สำคัญมากเช่นกัน องค์หญิงหย่งชิงสิ้นพระชนม์แล้ว ซูถูมีคนเก่าแก่จากเฉียนเอี้ยนอยู่ในมือตอนที่โจมตีเมืองครั้งก่อนพวกเราทุกคนก็เห็นกับตา และพวกเขายังสามารถเปลี่ยนศพได้คนตายที่มีชีวิตเหล่านี้น่ากลัวมาก ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามีทักษะอื่นอีกหรือไม่ อาจารย์ต้องจับตาดูตลอดเวลาจะได้แก้ปัญหาทันทีที่พบเจ้าค่ะ”
หนิงซิวพยักหน้า “ได้”
“ยังมีหน้าไม้อีกด้วย อาจารย์บินอยู่บนฟ้าไร้สิ่งพึ่งพิง เมื่ออยู่ในระยะของหน้าไม้จะอันตรายมากจะต้องระมัดระวังในการซ่อนตัวด้วยนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม” หมิงเวยเปิดห่อพัสดุแล้วหยิบชุดทหารของเผ่าหูมาสวมใส่จากนั้นสวมหมวกหนังใบหนา ไม่รู้ว่านางทำอย่างไรดึงไปจับไป ไม่นานนางก็ดูไม่ต่างจากหูเหรินเลย หากเดินออกไปผู้อื่นคงคิดว่านางเป็นแค่ทหารเผ่าหูตัวเล็กๆ สุดท้ายนางก็ยัดของที่เหลือที่อยู่ในห่อลงกระเป๋าหนังรอบเอว เมื่อลองใช้ดูเห็นว่าสามารถหยิบจับได้ตามที่ต้องการจึงมัดให้แน่นขึ้น
หนิงซิวนึกขึ้นได้บางอย่าง “จริงสิ ขลุ่ยของท่านหายไปแล้วยังหาของที่ใช้ได้ไม่เจอหรือ”
หมิงเวยพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ายังมีนกหวีดเจ้าค่ะ”
“แต่ก็ไม่ใช่ของที่ตนเองคุ้นเคยไม่สะดวกมือ” เขาปลดกู่ฉินแล้วเปิดช่องลับ คลำหาอยู่สักพักจากนั้นหยิบขลุ่ยออกมา “สหายของข้าผู้หนึ่งเคยใช้ และมันถูกเก็บไว้ที่นี่ไม่เคยย้ายไปที่ใด ท่านเอาไปใช้ก่อนเสร็จแล้วค่อยเอามาคืน”
หมิงเวยรับมันมาเมื่อสัมผัสขลุ่ยก็ร้องอุทาน “ของดีเลยเจ้าค่ะ”
หนิงซิวหัวเราะ “ขลุ่ยของท่านหายไปนานเช่นนั้นไม่มีเตรียมใหม่อีกเลย คิดว่าท่านคงเป็นคนเรื่องเยอะน่าดู ขลุ่ยนี้ทำมาจากไผ่เหลยอินท่านน่าจะพอใจ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของข้าเลยไม่สามารถมอบให้ท่านได้”
“ยืมครั้งเดียวก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยห้อยไว้รอบเอว และซ่อนมันไว้ในเสื้อผ้า
“ข้าไปล่ะเจ้าค่ะ”
“ได้”
หมิงเวยลงจากยอดเขา และเข้าไปในค่ายของทหารเผ่าหูอย่างรวดเร็ว หนิงซิวมองดูนางหยุดอยู่ที่ประตูค่ายพักหนึ่งไม่รู้ว่าใช้วิธีใดถึงถูกปล่อยผ่านมาได้
หนิงซิวแกะห่อสัมภาระของตนจากนั้นประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ของนกไม้และติดยันต์
เมื่อมองดูนกไม้เขาก็นึกถึงสิ่งที่อาจารย์พูดก่อนจะสิ้นใจในทันที “สายของพวกเรา ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปทั่วหล้าเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และยังถูกเรียกว่าเป็นผู้นำของเสวียนชื่อ อย่างไรก็ตามเมื่อส่งต่อไปยังอาจารย์ปู่ท่านหนึ่ง ลูกศิษย์ของเขาก็ด่วนชิงจากไปเสียก่อนทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของสำนักไป การสืบทอดถูกตัดขาด
ตั้งแต่นั้นมาสำนักก็ได้เปลี่ยนกฎ ลูกศิษย์สามารถรับได้หลายคน แต่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้รับสืบทอดวิชา ศิษย์น้องของเจ้าเป็นคนที่มีคุณสมบัติความหวังของข้าอยู่ที่เจ้าแล้ว ภายภาคหน้าหากมีโอกาสเจ้าต้องหาของสิ่งนั้นเพื่อเติมเต็มมรดกสืบทอดให้สมบูรณ์ หากหาไม่พบจงส่งต่อคำสั่งเสียสุดท้ายนี้ต่อไปจนกว่าจะพบ”
อันที่จริงหนิงซิวไม่ได้นึกถึงคำพูดเหล่านี้หาของที่หายไปร้อยกว่าปีแล้ว คิดอยากจะเจอมันจะเจอได้ง่ายๆ ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังไม่มีเบาะแสเหลืออยู่เลย
อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่หมิงเวยเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางได้รับจะเป็นมรดกสืบทอดที่สมบูรณ์ของสำนัก แต่ท่านอาจารย์บอกอย่างชัดเจนว่า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้สืบทอดซึ่งเขาอยู่ตรงนี้แล้วนางจะสามารถได้อย่างไร หนิงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ ปัดความคิดที่ปะปนเหล่านี้ออกไปจากหัวและจ้องไปที่ค่ายศัตรู
หลังจากรอสักครู่เขาก็เห็นไฟจุดขึ้นที่ไหนสักแห่ง นี่คือสัญญาณที่พวกเขาตกลงกัน ไม่นานประตูเมืองก็เปิดออก และทหารม้าเบา[2]กลุ่มหนึ่งก็รีบออกไป
ทหารเผ่าหูคุ้นเคยกับฉากนี้มานานแล้วทหารเผ่าหูที่คอยเฝ้าจับตาดูจึงตีกลองส่งสัญญาณไป หากเป็นเมื่อก่อนทหารม้าเบาจะมารุกรานรอบเดียวแล้วจากไป แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกันพวกเขาพุ่งเข้ามาโดยตรง
หนิงซิวนั่งบนนกไม้ติดยันต์ และบินขึ้นไปในอากาศ ครั้งนี้ของจริงแล้ว
…………
“ต้าห่าน พวกเขามาแล้วขอรับ” ค่ายกองทัพกลางเผ่าหู ปาตงรายงาน
ซูถูตอบรับอย่างผิดปกติเขาสวมหมวกแล้วสั่งการ “เรียกรวมทหารหมาป่าหิมะ”
ปาตงชะงักไปครู่หนึ่ง “ต้าห่าน หรือว่าคืนนี้…”
“ตามกฎแล้วเส้นทางของพวกเขาคืนนี้ควรตรงไปที่กองทัพกลาง”
ปาตงตอบรับเสียงดัง “ขอรับ!”
ซูถูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วรั้งเขาไว้ “ให้ทหารหมาป่าหิมะซุ่มโจมตีรอบๆ แล้วค่อยกลับมา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในวงล้อมแล้ว”
“ขอรับ”
ปาตงออกไปไม่นานภายในค่ายก็มีเสียงร้องฆ่าฟันตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิง ซูถูเลิกคิ้วกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปาตงกลับมาเสียก่อน “ต้าห่าน! จู่ๆ ก็มีทหารแคว้นฉีจำนวนมากโผล่ขึ้นมาในค่ายขอรับ!”
…………….
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง คบชู้
[2] ทหารม้าเบา : กองกำลังนี้จะเปนพวกเคลื่อนที่เร็วเป็นหลัก โดยลักษณะของกองกำลังนี้คือจะใช้อาวุธน้อยชิ้น เช่นว่ามีแค่ดาบ หอกเบา หรือธนูเท่านั้น