คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 449 พวกอันธพาล
“อาจารย์” เจี่ยงเหวินเฟิงเข้ามาในห้องหนังสือ
ฟู่จินถูจมูกที่กลายเป็นสีแดงแล้วจามจากนั้นก็พูดเสียงเบา “เจ้ามาดูอาการป่วยข้าหรือ!”
“ขอรับ ได้ข่าวว่าท่านป่วย” เจี่ยงเหวินเฟินเห็นฟู่จินเป็นเช่นนั้นก็แปลกใจ “ยังไม่ถึงช่วงเปลี่ยนฤดูเหตุใดท่านถึงป่วยกัน”
ฟู่จินเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกแล้วพูดว่า “เจ้าพูดเหมือนกินข้าวนิดเดียวจะหิวไม่ได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงคุ้นเคยกับนิสัยส่วนตัวของอาจารย์ผู้นี้จึงถามออกไปทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “ได้ยินว่าท่านไปจวนหลู่เซียงแล้วป่วยหรือ”
“ใช่” ฟู่จินถอนหายใจ “ยืนอยู่หน้าจวนหลู่เซียงกลางค่ำกลางคืนจะไม่ป่วยได้อย่างไร”
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“จะอะไรอีกล่ะ ไท่จื่อจะถูกลงโทษ!”
ใช่ เมื่อไม่นานมานี้ไท่จื่อรับเรื่องการรักษาแม่น้ำมาดูแล ผลลัพธ์กลายเป็นตัดสินใจด้วยตนเองไม่ปรึกษาผู้ใด และดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้ฮ่องเต้โกรธมากจนไม่อยากคุยกับเขา
สำหรับเรื่องนี้ฟู่จินไปที่จวนหลู่เซียงหลายครั้งติดต่อกัน คนเหล่านั้นพูดว่าไท่จื่อมีอาจารย์เช่นนี้ช่างโชคดีมาก
เจี่ยงเหวินเฟิงเปลี่ยนคำพูดในใจต้องบอกว่าโชคร้ายต่างหากถึงจะถูก
เขาเหลือบมองออกไปข้างนอกและสั่ง “เหลยหง ข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าไปรอข้างนอกสักครู่เถอะ”
เหลยหงตอบกลับ “ขอรับ”
เมื่อเขาเดินออกไปเจี่ยงเหวินเฟิงถามเสียงเบา “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ อาจารย์ ท่านจงใจให้ตนเองป่วยหรือ”
ฟู่จินเช็ดน้ำมูกแล้วพูดด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย “เจ้ารีบส่งจดหมายไปซีเป่ย บอกเขาว่าสายลับของหวงเฉิงซือเคลื่อนไหวแล้ว ฝ่าบาทคิดจะสังหารเขา!”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “อะไรนะ”
สีหน้าของฟู่จินไม่จริงจังไปกว่านี้แล้ว ซึ่งแสดงว่าเขาเอาจริง
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ท่านไม่ต้องการใช้เส้นสายตระกูลหยางหรือ”
ฟู่จินส่ายหน้า “เผื่อไว้”
เจี่ยงเหวินเฟิงทราบว่าก่อนที่หยางชูจะออกจากเมืองหลวงเขาได้ทิ้งกำลังคนของตนเองเอาไว้ ในช่วงสองปีมานี้พวกเขาได้สร้างหน่วยข่าวกรองขึ้นมา
โดยปกติแล้วผู้ที่มีความมั่นใจอย่างอาจารย์จะไว้ใจหน่วยข่าวกรองที่ตนเองจัดการมาก แต่หากเขาพูดว่าเผื่อไว้แสดงให้เห็นว่าเขาจะรับความเสี่ยงไม่ได้แม้แต่น้อย
“นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านไปจวนหลู่เซียงในตอนกลางค่ำกลางคืนหรือ”
ผู้ใดจะรู้ว่าฟู่จินมีสีหน้าไม่พอใจ “เรื่องรับมืออย่างไรข้าคิดเรียบร้อยแล้ว ก็แค่บังคับให้ตาแก่นั่นลงเรือลำเดียวกัน”
“…” เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “อาจารย์…ท่านทำอย่างไร”
“มาถึงจุดนี้แล้วจะทำอย่างไรได้ กองทัพอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถล่าถอยได้ต้องเสียชีวิตในสนามรบเท่านั้น” เกิดประกายเย็นวาบในสายตาของฟู่จิน “อย่างไรก็ตามข่าวลือนี้ไม่สามารถลบล้างได้ปล่อยให้มันแพร่กระจายไปอย่างรุนแรงมากขึ้นให้เป็นที่รู้กันไปทั่วหล้าเลย!”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “อาจารย์! ท่านทำอะไรกันหากเกิดเรื่องใหญ่แล้วจะจัดการเก็บกวาดยากขึ้น”
ฟู่จินยังคงนิ่งเฉย “เจ้ามองไม่ออกหรือฝ่าบาทไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เขาเคยเป็นเมื่อสองปีก่อนอีกต่อไปแล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ
“สองปีก่อน เขาเป็นฮ่องเต้ที่มีเมตตาที่อยากมีชื่อทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ในช่วงสองปีนี้อาจเป็นเพราะสุขภาพที่แย่ลง หรือมีหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการจิตใจถึงได้โหดร้ายมากขึ้น! เจ้าดูสิเขาไม่เหลือที่ว่างเลย เบื้องหน้าทำเป็นประณามข่าวลือ แต่เบื้องหลังกลับส่งคนไปซีเป่ยไม่ให้โอกาสให้คุณชายได้มีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้ใช้สายลับฆ่าคนหมายความว่าไม่มีทางให้ถอยกลับมีเพียงต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”
เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบอยู่นานก่อนจะถามเสียงอ่อน “ท่านคิดจะใช้ความเห็นของประชาชนบังคับให้เขาเลิกฆ่าคนงั้นหรือ”
“เจ้าคิดอย่างไรล่ะ ความเห็นของประชาชนที่กระพือให้เรื่องขยายใหญ่โตลุกลามออกไปเป็นเบี้ยที่มีอำนาจอย่างแท้จริง” ฟู่จินยิ้มออกมา “ข้าจะทำให้เขาอยากฆ่าแต่ฆ่าไม่ได้!”
“อาจารย์!”
“รีบส่งจดหมายไปซีเป่ยว่าค้างคาวราตรีเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาเร่งเดินทางคงถึงที่หมายในไม่ช้า วิธีหลีกเลี่ยงการตามล่าของค้างคาวราตรีนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณชาย หากเขาสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็หมายความว่าสวรรค์เต็มใจที่จะให้โอกาสเขา หากหลีกเลี่ยงไม่ได้พวกเราก็ทำเหมือนกับว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแผนการในช่วงสองปีที่ผ่านมา”
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แรกเริ่มเขารู้สึกคนกลุ่มนี้บ้าไปแล้วหากตนไม่ตามผู้ใดจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ใดจะไปคิดว่าพอเข้าร่วมแล้วจะไม่สามารถถอยออกมาได้กัน
ตอนนี้เขาเป็นเช่นนี้ต่างจากกบฏตรงไหนกัน เหมือนเขาใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ และได้ตำแหน่งชิงเทียนอย่างนั้นแหละ
“ยังงงอะไรอยู่ รีบไปสิ! พวกเรามีเรื่องต้องทำอีกมาก! อืม…เราต้องหาวิธีติดต่อตระกูลจง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดจงซู่ไม่เพียงแต่รู้เรื่องราวภายในเท่านั้น แต่ยังชื่นชมคุณชายมากอีกด้วยเรื่องนี้จะขาดความร่วมมือจากเขาไม่ได้…”
ฟู่จินถูจมูกพลางฝนหมึกเพื่อเขียนจดหมาย เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นอาจารย์เป็นเช่นนั้นจะว่าอะไรได้อีก ช่างเถอะถือว่าเห็นแก่น้ำใจของแม่นางหมิงก็แล้วกัน หากไม่มีนางเขากับเชี่ยนเหนียงคงถูกแยกจากกันตลอดไป
…………
ผ่านไปครึ่งเดือนข่าวลือในเมืองหลวงไม่เพียงแต่ไม่สงบลงเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายออกไปอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
อย่างเช่น…
“คุณชายสามตระกูลหยางเป็นทายาทของไท่จื่อองค์ก่อนงั้นหรือ ไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ บิดาของเขาเป็นนายท่านหยางคนรองซึ่งมีทั้งชื่อและตัวตนไม่ใช่แมวหมาที่ไหน”
“มีอะไรเป็นไปไม่ได้กัน ย่าของเขาคือองค์หญิงหมิงเฉิง! ผู้ใดก็รู้ว่าองค์หญิงรักน้องชายมากหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็ไม่แปลกที่จะซ่อนลูกหลานของน้องชายไว้ในจวนของตนเองด้วยการให้เขาเป็นหลานชายแทน!”
“ก็มีเหตุผล…”
“พูดถึงเรื่องนี้พระชายาของหลานชายเป็นสตรีตระกูลเผยซึ่งเป็นพี่น้องกับฮูหยินของนายท่านหยางคนรอง”
“เอ๋ ใช่คนที่อยู่ในวังหรือเปล่า”
“ใช่ๆๆ”
“ได้ยินมาว่าหญิงม่ายของนายท่านหยางคนรองที่อยู่ในวังหลวงผู้นั้นเป็นมารดาของคุณชายสามตระกูลหยาง ตอนนี้คุณชายสามตระกูลหยางเป็นทายาทของไท่จื่อองค์ก่อน หรือว่า…”
แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดพูดประโยคนั้น แต่ทุกคนก็เข้าใจ
ข่าวลือถึงหูของฮ่องเต้อีกครั้งพระองค์ทรงกริ้วมากแต่เช้าจึงเรียกเจี่ยงเหวินเฟิงมาตำหนิและสั่งให้แก้ไขภายในสามวัน
ศาลาว่าการมีการเคลื่อนไหวด้วยการส่งไปจับกุมประชาชนหลายกลุ่มในที่สุดก็ระงับความคิดเห็นของประชาชนได้เล็กน้อย ต่อหน้าไม่มีผู้ใดกล้าพูด แต่ภายในกลับปั่นป่วนราวกับน้ำโหมซัดสาด
หากเรื่องนี้เป็นเท็จเหตุใดฮ่องเต้ต้องทรงกริ้วด้วยพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่มีเมตตาหาได้ยาก ข้าราชการหรือประชาชนทำความผิดถูกทำโทษสถานเบา แต่ครั้งนี้พูดออกไปไม่กี่คำกลับทรงกริ้วหนัก หรือจะมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ซ่อนอยู่เบื้องหลังกัน ฮ่องเต้ได้ยินคำรายงานจากหวงเฉิงซือก็ทรงกริ้วจนปวดพระเศียร
ฟู่จินถูกหลู่เฉียนเรียกตัวไปหา
“เรื่องนี้เป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่” ใบหน้าของผู้อาวุโสหลู่เซียงขาวซีด แทบทนไม่ไหวที่จะเอาหินหมึกทุบหัวอีกฝ่าย เมื่อเรื่องใหญ่สิ้นสุดลงปัญหาต่างๆ ก็พลอยสิ้นสุดลงไปด้วย
ฟู่จินกลับเปลี่ยนท่าทีเขาดูเจ้าเล่ห์มากขึ้นกว่าเดิม
เขานั่งลงต่อหน้าหลู่เฉียนแล้วยิ้ม “ผู้ใดใช้ให้ผู้อาวุโสไม่ช่วยข้าล่ะ ข้าฉลาดไม่พอที่จะทำเรื่องอะไรเช่นนั้นหรอกขอรับ”
หลู่เฉียนมองเขาแล้วแค่นหัวเราะ “ครั้งก่อนท่านพูดว่านี่เป็นการเอาเขาไว้วางบนกองไฟยิ่งสร้างปัญหามากเท่าไรชีวิตของเขาก็ยิ่งรักษาไว้ไม่ได้! หากคนตายไปทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข”
ฟู่จินมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ถ้าหากว่าไม่สามารถฆ่าได้ล่ะ”
หลู่เฉียนเลิกคิ้ว “มีอะไรถึงไม่สามารถฆ่าได้”
ฟู่จินพูดเสียงลึกลับ “ท่านไม่รอดูเล่าข่าวจากเมืองหลวงไปซีเป่ยใช้เวลานานหน่อย”