คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 460 หลักฐาน
หลู่เฉียนกลับมาที่จวนก่อนเวลาอันควร เขาอายุมากขึ้นการขอตัวกลับมาก่อนจึงไม่มีผู้ใดว่าอะไร ในตอนที่วังหลวงเต็มไปด้วยความสุขเขาเห็นฟู่จินที่ไม่ได้มารบกวนเขาเป็นเวลาสองเดือนอยู่ในจวน
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านบอกให้ข้ารอดูหรือ”
ฟู่จินทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสพอใจหรือไม่”
หลู่เฉียนแค่นหัวเราะเขาจิบชาอึกใหญ่แล้วถามว่า “ท่านโน้มน้าวจงซู่ได้อย่างไร สำหรับตระกูลจงแล้วเท่ากับเป็นการทำลายตนเองให้วิบัติลงข้าไม่เชื่อว่าจงซู่จะเดิมพันครั้งใหญ่กับเด็กที่ไร้ญาติขาดมิตรผู้หนึ่ง”
ฟู่จินพูดอย่างไม่รีบร้อน “ไม่ยากเลย ผู้ที่โน้มน้าวตระกูลจงได้ต้องเป็นคนตระกูลจงเท่านั้น” หลู่เฉียนมองเขาอย่างสงสัย
ฟู่จินอธิบาย “ในปีที่ข้าเดินทางไปศึกษานอกสถานที่ก็ได้สร้างมิตรภาพกับหมอเทวดานามจงเยวี่ย เขาอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเขาเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แต่เพราะละเมิดกฎของบรรพบุรุษจึงต้องออกจากตระกูล และไม่เอ่ยถึงนามที่แท้จริงของตนเองอีก”
หลู่เฉียนตกตะลึง “เขาเป็นคนตระกูลจงหรือ”
“ใช่ เขาคือบุตรชายคนที่หกจากตระกูลจงที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก”
หลู่เฉียนไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่งในใจคิดว่าหรือนี่จะเป็นพระประสงค์ของสวรรค์ให้เขารู้จักสมาชิกคนหนึ่งจากตระกูลจง และขอให้เขาช่วยโน้มน้าวจงซู่
ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงมากฮ่องเต้ต้องการสังหารเขาอีกครั้งแน่นอนเขาทำได้เพียงระงับมันชั่วคราวเท่านั้น
“ท่านทำเช่นนั้นก็แค่ทำให้เขาปลอดภัยไปสักพักหนึ่งเท่านั้น รอกระแสผ่านพ้นไปอย่างไรเขาก็ตาย”
“เพราะฉะนั้นข้าจะไม่รอให้กระแสผ่านพ้นไป”
หลู่เฉียนหรี่ตา “หมายความว่าอย่างไร”
ฟู่จินถอนหายใจ และหยิบสิ่งของสีเหลืองสดใสออกจากแขนเสื้อ “ผู้อาวุโส เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมมามากพอแล้ว ตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยรับพระนามในฐานะหวางซุนเลยแล้วเหตุใดถึงต้องมาทนกับเจตนาร้ายเหล่านี้ด้วย แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ต้องเรียกคืนนามของเขากลับมาให้ได้ กลับสู่ราชวงศ์เพื่อให้เขาได้รับความยุติธรรมท่านว่าไม่จริงหรือ”
หลู่เฉียนจ้องไปที่สิ่งของในมือของฟู่จินเปลือกตาของเขากระตุกอย่างแรง น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “ท่านไปเอาของเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
ฟู่จินยิ้มแล้วพูดเสียงเบา “เหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้ในตอนที่ซือฮว๋ายไท่จื่อสิ้นพระชนม์ ข้าบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วยต่อมาข้าก็เป็นคนส่งมอบเด็กคนนั้นให้องค์หญิงใหญ่เองกับมือ หากจะมีผู้ใดในโลกรู้เหตุผลส่วนตัวขององค์หญิงใหญ่ก็คงจะเป็นข้า ผู้อาวุโส แปลกตรงไหนที่ข้าจะมีของแบบนี้อยู่ในมือ”
“ท่านบ้าไปแล้ว!” หลู่เฉียนถามเสียงต่ำ “ท่านคิดจะบีบบังคับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรือ!”
สีหน้าของฟู่จินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ช่วยไม่ได้ผู้ใดใช้ให้เขาคิดตัดรากถอนโคนกัน ในเมื่อไม่มีทางรอดแล้วอย่างไรก็ต้องสู้ใช่หรือไม่”
พูดแล้วก็เขย่าของในมือ “ตราบใดที่ข้านำสิ่งนี้ออกมา ข่าวลือนั่นก็จะมีหลักฐานชั้นดีเมื่อถึงเวลานั้นพระพักตร์ของฝ่าบาทคงไม่สู้ดี ผู้อาวุโสท่านอยากให้ไปถึงจุดนั้นจริงๆ หรือ”
หลู่เฉียนหลับตาลงน้ำเสียงของเขาดูแก่ขึ้นเรื่อยๆ “หากท่านโน้มน้าวให้เขาไปจากที่นี่ ข้าจะช่วยพูดกับฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตเขา”
“สายไปแล้ว!” ฟู่จินยิ้มเย็น “ผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ข้าขอร้องท่านตั้งกี่ครั้ง แต่ท่านไม่เต็มใจที่จะช่วยมาตอนนี้ท่านพูดเช่นนี้ข้าก็ไม่เชื่อ! ในเมื่อค้างคาวราตรีเคลื่อนไหวแล้ว ต่อให้เขาท่องยุทธภพจะปลอดภัยที่ไหนกันสู้ให้เขามีสถานะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ”
“มันเป็นไปไม่ได้!” หลู่เฉียนพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านรู้หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไปจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของฝ่าบาทมากน้อยเพียงใด ความศักดิ์สิทธิ์ของฮ่องเต้จะทำผิดไม่ได้!”
“ฟังจากที่ท่านกล่าวมา” ฟู่จินพูดเสียงเรียบ “ในตอนที่เผยกุ้ยเฟยเข้าวัง ไม่ใช่พูดเสียดิบดีหรือ ตอนนี้หาเหตุผลอื่นได้ไม่ยากใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าพวกท่านชำนาญเรื่องพวกนี้หรือไม่ว่าเรื่องจะน่าเกลียดเพียงใดก็สามารถถูกชะล้างออกไปได้อย่างสมบูรณ์”
“ท่าน...”
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ฟู่จินไม่กลัวเขา เขาตบสิ่งของในมือและมองดูหลู่เฉียนอย่างหยิ่งผยอง “ผู้อาวุโสพวกเราแค่ถูกบีบบังคับจำเป็นต้องปกป้องตนเองด้วยสถานะของท่านข้าถึงไม่ประกาศออกไปในตอนนี้ ท่านควรคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมเขาให้เร็ว! ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาก็ต้องต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมานานจะถูกทำลายในชั่วข้ามคืน”
เมื่อพูดจบฟู่จินขยับแขนเสื้อแล้วเก็บสิ่งนั้นกลับไป “ข้าต้องไปแล้วหวังว่ามาที่จวนครั้งหน้าจะได้ยินข่าวดี”
“เดี๋ยวก่อน” หลู่เฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านคิดจะข่มขู่ก็เอาของสิ่งนั้นออกมาให้ดูแวบเดียวเช่นนี้ยังคิดจะขอให้ข้าช่วยเหลือหรือ”
ฟู่จินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วนำของสิ่งนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสต้องการดูข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”
หลู่เฉียนเลิกผ้าไหมสีเหลืองออกเพื่อดูใกล้ๆ ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็ขยายออก และพูดด้วยความโกรธ
“ท่าน...”
สีหน้าของฟู่จินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ผู้อาวุโสจะว่าอย่างไร”
ท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่ายทำให้ความโกรธของหลู่เฉียนค่อยๆ คลายลง และเขาก็ตกอยู่ในความคิด
…………
หลู่เฉียนเข้าไปในท้องพระโรงคิดจะก้มลงคำนับ แต่ก็ถูกฮ่องเต้ประคองไว้
“ไม่ได้บอกก่อนหน้านี้แล้วหรือ เท้าของหลู่ชิงไม่ดีไม่จำเป็นต้องหมอบ” เขากลับมามีท่าทีใจดีอีกครั้งไม่มีวี่แววเจตนามุ่งร้าย
หลู่เฉียนขอบคุณเสียงสั่น “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สั่งให้อีกฝ่ายนั่งลงแล้วถาม “ดึกดื่นเช่นนี้หลู่ชิงมีเรื่องอะไรหรือ เจิ้นไม่คิดว่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันนี้เหลือเพียงรอฟังความเห็นของประชาชนในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น”
หลู่เฉียนมีท่าทีเคร่งขรึม “กระหม่อมมารบกวนกลางดึกเช่นนี้เพราะไม่มีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นก็หันไปมองข้ารับใช้ในวัง
ฮ่องเต้เข้าใจความหมายดีจึงออกคำสั่ง “ออกไปให้หมด”
ข้ารับใช้เดินออกไปอย่างรวดเร็วฮ่องเต้จึงเอ่ยถาม “เรื่องใหญ่อะไรหรือถึงทำให้หลู่ชิงเคร่งขรึมเช่นนี้”
หลู่เฉียนยืนขึ้นโค้งคำนับแล้วหยิบสิ่งของออกจากอกเสื้อวางบนโต๊ะทรงอักษร มันคือแหวนหยก หยกล้ำค่าที่มีรูปแบบเรียบง่าย ฮ่องเต้มองดูของสิ่งนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ซึ่งทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เขาหยิบแหวนหยกนี้ขึ้นมาใช้นิ้วลูบด้านในจนสัมผัสได้ถึงตัวอักษรที่ซ่อนอยู่ด้านในนั้น
เหยี่ยน
ฮ่องเต้เงียบไม่พูดอะไร หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอดแหวนหยกของตนเอง ซึ่งมีปุ่มแบบเดียวกันอยู่ด้านใน และตัวอักษรนั้นเป็นคำว่า
ช่าว
ชื่อของเขา เจียงช่าว
เขาเกิดในปีที่ก่อตั้งแคว้น ฮ่องเต้ไท่จู่เพิ่งเสด็จขึ้นครองบัลลังก์เมื่อได้รับข่าวดีเรื่องการประสูติของเขาก็มอบแหวนหยกเป็นหลักฐานรับรอง
ตั้งแต่นั้นมาเมื่อองค์ชายหรือหลานชายประสูติ ฮ่องเต้จะประทานหยกพร้อมสลักชื่อซึ่งกลายเป็นธรรมเนียมของตระกูลเจียง และเมื่อหย่งซีอ๋องอภิเษกสมรสได้ครึ่งปีก็ได้รับข่าวดีจากพระชายาของเขา
เนื่องจากเป็นเหลนคนแรกฮ่องเต้ไท่จู่จึงไม่รอให้เด็กประสูติออกมาก่อน พระองค์ตอบรับคำขอของหย่งซีอ๋อง และให้หลักฐานรับรองล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย
เหยี่ยน
เจียงเหยี่ยน เด็กคนนั้นได้รับพระนามตั้งแต่ยังไม่ทันเกิดผ่านไปนานฮ่องเต้จึงถามว่า
“ท่านได้สิ่งนี้มาจากที่ใด”
หลู่เฉียนตอบ “เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนมีคนส่งสิ่งนี้มาที่จวนของกระหม่อม นอกจากนี้ยังมีพระราชโองการลับแนบมาด้วย”
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “เนื้อหาว่าอย่างไร”
หลู่เฉียนมองเขาอย่างละเอียดแล้วถามกลับว่า “ฝ่าบาท ไม่ฟังคำขอของคนผู้นั้นก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยายามระงับอารมณ์ของตนเอง “พูดมา!”
“เขาบอกว่าหากหลักฐานนี้ถูกเผยแพร่ออกไปฝ่าบาทคงดูไม่ดีแน่ เพื่อเป็นการดีสำหรับฝ่าบาทออกพระราชโองการก่อนจะเป็นการดีกว่า”