คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 471 ดื่มสุรา
ไม่กี่วันหลังจากนั้นหยางชูก็ได้รับข่าว ตั้งแต่กลับมามีเรื่องมากมายหลายอย่าง ทั้งเรื่องตำแหน่ง พิธีต่างๆ จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการย้ายจวน
อาหว่านบอกไปว่าจะไม่พาผู้ใดไปสักคนเดียว อันที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ต้องบอกว่าเหล่าขุนศึกที่อยู่ข้างกายหยางชู พ่อแม่ ภรรยา และลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในจวนโหวจะไม่สนใจได้อย่างไร
อีกทั้งคนที่อยู่ในเรือนรองแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนตระกูลหยางแล้ว แต่ก็เป็นคนสนิทสนมกันที่จวนโหวใช่ว่าจะเต็มใจอยู่ รายละเอียดต่างๆ มากมายทำให้เขายุ่งอยู่กว่าครึ่งเดือนกว่าจะตั้งหลักได้
จากนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ พูดแล้วก็น้ำตาคลอเบ้าผู้ที่มอบของขวัญสำหรับย้ายจวนมีไม่น้อย แต่ผู้ดื่มสุรากลับมีไม่กี่คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่าผู้ลากมากดีที่เคยอยู่กับเขาเมื่อตอนเด็ก แม้แต่นางคณิกายังคิดอยากรำลึกความหลังถึงได้จงใจส่งพัดที่ส่งกลิ่นหอมมาให้หยางชูเห็นแล้วหน้าเขียวคล้ำ
นี่มันเรื่องตลกอะไร ตอนนี้เขาได้เป็นชินอ๋องต้องรับของขวัญพวกนี้หรือ เขารีบให้อาหว่านมาจัดการ แต่พระราชวังก็ส่งของขวัญมาหลายอย่างวันรุ่งขึ้นเขาจึงเข้าวังเพื่อกล่าวขอบคุณ ฮ่องเต้ไม่ได้พบเขา แต่ให้นางในออกมาถ่ายทอดคำพูดและให้เขาไปพบเผยกุ้ยเฟย
สองแม่ลูกรู้ว่าการพบกันครั้งนี้อยู่ในสายตาของผู้อื่นดังนั้นการสนทนาจึงถูกจำกัด ช่วงเวลายินดีก็ควรยินดีช่วงเวลาไหนควรใกล้ชิดก็ใกล้ชิด หยางชูมองเผยกุ้ยเฟยอย่างละเอียดเมื่อเห็นใบหน้านางดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวาเขาก็โล่งใจ
ก่อนออกจากเมืองหลวงเผยกุ้ยเฟยเพิ่งแท้งบุตรไปจึงเกรงว่าด้วยอายุของนางจะไม่แข็งแรง ล้มป่วยง่าย ได้ยินว่าฮ่องเต้ไม่พบเขา เผยกุ้ยเฟยจึงอธิบายปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของเขาแทนฝ่าบาทในฐานะที่เป็นคนในวัง
“…จากนั้นได้หาเสวียนชื่อเพื่อคำนวณดวงชะตาของเจ้า ผลปรากฏว่าชะตาชีวิตถูกกำหนดให้คนรอบข้างโชคร้ายต้องหาผู้พลิกชีวิตชะตามาปราบปราม ในช่วงที่ย่าทวดของเจ้าต่อสู้ในสนามรบ นางมีกลิ่นอายสิริมงคล และกลิ่นอายชั่วร้าย จึงให้เจ้าใช้ชื่อในฐานะหลานชายไว้รอให้เติบใหญ่ค่อยว่ากัน หลายปีมานี้ฝ่าบาทเป็นห่วงเจ้ามากจึงให้เจ้าไปซีเป่ยถือเป็นการขจัดไอชั่วร้ายรอบตัวเจ้า…”
คำพูดนี้ไม่สามารถคิดทบทวนได้อย่างคำว่าผู้พลิกชีวิตชะตาจะมีผู้ใดสูงไปกว่าฮ่องเต้อีก แต่ทั้งสองแม่ลูกแสดงละครว่าไม่มีผู้ใดคิดถึงเรื่องนี้
หลังจากคุยเรื่องสำคัญเสร็จเผยกุ้ยเฟยมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่อยากแต่งงานก็ตามใจเจ้า ตอนนี้เจ้ากลับสู่ราชวงศ์แล้วอีกทั้งอายุของเจ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แต่งงาน”
“ท่านน้า…”
หยางชูเพิ่งเอ่ยปากเผยกุ้ยเฟยตบไหล่เขาเบาๆ “ความรู้สึกของเจ้าน้าเข้าใจ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แม่นางหมิงผู้นั้นถึงแม้จะถอนหมั้นแล้ว แต่ว่า…”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของหยางชูเผยกุ้ยเฟยสงสัย “ทำไมหรือ เจ้าไม่รู้หรือ”
หยางชูตอบ “ช่วงนี้ยุ่งมากไม่ได้ออกไปไหนเลยขอรับ”
เผยกุ้ยเฟยพอใจในความเฉลียวฉลาดของเขานางจึงอธิบายว่า “เมื่อวานท่านราชครูเข้าเฝ้าฝ่าบาท บอกว่าบุตรชายตระกูลจี้มุ่งมั่นจะออกบวช เกรงว่าสัญญาหมั้นหมายคงต้องล้มเลิก”
หยางชูประหลาดใจมากเขาคิดมานานแล้วว่าจะแก้ปัญหาการแต่งงานนี้อย่างไร แต่เขาไม่คิดว่าตระกูลจี้จะริเริ่มก่อน หรือจะเป็นฝีมือของหมิงเวย หรือว่าเขาอยากออกบวชจริงๆ
“ฝ่าบาทเห็นด้วยหรือไม่”
“แน่นอนว่าการแต่งงานเป็นการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1] จะบังคับได้อย่างไร อีกอย่างเด็กคนนั้นเข้าเสวียนตูกวัน ฝ่าบาททอดพระเนตรด้วยตัวพระองค์เอง เขาจะเข้าลัทธิไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกก็ต้องยอมรับ”
ยังไม่ทันที่เขาจะถอนหายใจก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอันน่าเสียดายของเผยกุ้ยเฟยเสียก่อน “แม่นางหมิงผู้นั้นฝ่าบาทเห็นว่านางมีโชคชะตาที่ไม่ดีพอไม่เหมาะสมกับเจ้าอย่างยิ่ง นอกจากนี้นางเพิ่งถอนหมั้นจะพูดเรื่องการแต่งงานในช่วงนี้คงดูไม่ดี”
หยางชูเข้าใจความหมายของเผยกุ้ยเฟย แต่เขาไม่ถามอะไรมากเพียงแต่ขอร้องให้เผยกุ้ยเฟยช่วยพูดแทนเขา
เผยกุ้ยเฟยไม่รับปาก เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วหยางชูจึงขอตัวลา
เขารู้ว่าการกลับเมืองหลวงในครั้งนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะได้พบเผยกุ้ยเฟยบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้จึงได้แต่อำลาอย่างสงบ
เมื่อกลับมาที่จวนเขาก็เรียกอาหว่านให้ส่งจดหมายไปที่จวนตระกูลจี้ จากนั้นเขาก็เดินทางไปหาศิษย์พี่ที่นอกเมือง ตอนที่หนิงซิวจากเมืองหลวงเขาได้ลาออกจากสถานศึกษาหมิงเฉิงแล้ว เมื่อกลับมาก็ไม่คิดจะกลับไปสอน ตอนนี้จึงอาศัยอยู่ที่หลังเขาเสวียนตูกวัน
หมิงเวยเองก็เคยถามถึงที่มาของอาจารย์ลูกศิษย์และเสวียนตูกวัน หนิงซิวตอบเพียงว่า “เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เสวียนตูกวันเป็นหนี้บุญคุณของท่านอาจารย์ปู่ของพวกเรา และเคยสัญญาว่าตราบใดที่อาจารย์ของพวกเรามีผู้สืบทอด พวกเราจะเป็นแขกคนสำคัญของเสวียนตูกวัน”
หมิงเวยฟังก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก มีบางอย่างในความทรงจำส่วนลึกของนางกำลังเคลื่อนไหว แต่กลับคว้าเอาไว้ไม่ได้จึงทำได้แต่ค่อยๆ คิด
ในตอนที่หมิงเวยได้รับจดหมายก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว นางบอกว่าจะออกไปข้างนอก จี้ฮูหยินจึงกำชับให้นางกลับมาเร็วหน่อย นายท่านจี้พักผ่อนอยู่ในจวน เห็นนางออกไปข้างนอกก็แปลกใจ
“เสี่ยวชีเป็นแบบนี้ตลอดหรือ”
จี้ฮูหยินเหลือบมองเขา “ท่านเพิ่งรู้หรือ”
“นางเป็นสตรี จะให้นางออกไปข้างนอกตามใจชอบได้อย่างไร” นายท่านจี้คิดไม่ถึง “ก่อนหน้านี้เหตุใดพวกเจ้าไม่พูดถึง”
“พูดถึงแล้วอย่างไร” จี้ฮูหยินพูดเสียงเย็นชา “ท่านไม่รู้หรือว่าตำแหน่งซือเยว่ของท่านได้มาเพราะเสี่ยวชี”
“ฮะ” จี้ฮูหยินกลอกตาไม่หวังอะไรกับสามีผู้โง่เขลาปล่อยให้เขาใช้ความรู้สอนหนังสือไปเถอะ! อืม อย่างไรบุตรชายก็ยังสนับสนุนกิจการครอบครัวได้อยู่
ในตอนที่หมิงเวยไปถึงหลังเขาเสวียนตูกวันก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี กลิ่นอาหารลอยมาจากเรือนหลังเล็ก เป็นหยางชูที่สั่งอาหารแนะนำของร้านเจ๋อกุ้ยโหลวมา ตั้งใจจะมากินต่อหน้าหนิงซิว
หนิงซิวไม่ได้ออกบวช แต่ชีวิตประจำวันของเขาเป็นแบบเงียบสงบ ไม่ต้องรักษาศีลเคร่ง แต่มีความปรารถนาในเนื้อสัตว์น้อย อย่างเช่นอาหารและสุราเลิศรส เขาทานได้ แต่ก็ควบคุมอย่างเข้มงวด ทานแค่อิ่มก็พอ
หยางชูตั้งใจหยอกล้อเขาดูชอบทำอย่างนี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย
“ท่านเบื่อหรือไม่” หมิงเวยเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขากำลังแกล้งหนิงซิว
หยางชูเห็นนางก็รีบทิ้งหนิงซิวไว้ด้านหลังแล้วกวักมือเรียก “ยังไม่ทานมื้อเย็นใช่หรือไม่ มาสิ! ข้าเพิ่งให้คนส่งมา”
“อาจารย์” หมิงเวยทักทาย
หนิงซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วทานอาหารต่อ จากนั้นเห็นอาหารบนโต๊ะลดลงอย่างรวดเร็ว อาหารในจานต่างย้ายไปอยู่ในชามของหมิงเวย
“ทานอันนี้ อันนี้ด้วย อันนี้ก็ไม่เลว…”
หมิงเวยหัวเราะไม่ออก “เยอะไปแล้ว ข้าทานไม่หมดหรอกเจ้าค่ะ!”
“ข้าจะช่วยท่านทานเอง!”
“คีบใส่ชามท่านเองสิเจ้าคะ”
“ไม่! ทานอย่างนี้ดีกว่า!”
หนิงซิวมีสีหน้าไร้อารมณ์หลังทานอาหารคำสุดท้ายเขาก็ผลักชามออกไป “ข้าอิ่มแล้ว”
ถึงทานไม่อิ่ม แต่แค่เห็นก็อิ่มแล้ว
หยางชูร้องอ้อแล้วไม่พูดอะไรอีกจากนั้นก็คีบอาหารจากในชามของหมิงเวยมาทานต่อ หนิงซิวยืนอยู่ที่หน้าต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
นิ้วไล้ไปตามหลังกู่ฉินอย่างอดทน กว่าพวกเขาจะทานอาหารเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว แสงตะเกียงลอยมาทางถนนสายเล็กอย่างช้าๆ มีผู้ถือตะเกียงเคาะประตู ตัวฝูเข้ามาต้อนรับเขา กลางคืนในฤดูใบไม้ผลิอากาศยังคงหนาวอยู่ บุรุษผู้นี้สวมเสื้อคลุม เขาถอดหมวกออก
“อาจารย์ฟู่”
ฟู่จินยื่นเสื้อคลุมให้ตัวฝูแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ในมือของเขามีสุราและอาหาร “มาดื่มสุรากัน”
…………
[1] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย : การประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น