คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 487 รับโทษ
หมิงเวยถูกรั้งให้อยู่ทานอาหารด้วยกัน เผยกุ้ยเฟยสั่งนางในให้เตรียมอาหารให้นางด้วยความกระตือรือร้นจนทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมา
จากนั้นขบวนเสด็จก็เตรียมเดินทางกลับ เสวียนเฟยจัดการธุระเสร็จก็ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และเห็นเขายืนมองเมืองหยุนจิงที่อยู่ไม่ไกลจากห้องใต้หลังคา
“ฝ่าบาท” ฮ่องเต้ได้ยินเสียง แต่ไม่ได้หันหลังกลับไป
“ป้ายหงส์นั่นเป็นนางที่จับได้จริงๆ หรือ”
เสวียนเฟยได้เตรียมพร้อมสำหรับคำถามนี้เอาไว้แล้ว เขาหยิบป้ายหงส์ออกจากแขนเสื้อ และมอบแก่ฮ่องเต้ “กระหม่อมละอายใจพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รับป้ายหงส์มาด้วยดวงตาวาววับ “ทำไม ท่านไม่พบอุบายอะไรหรือ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูโกรธเล็กน้อยเสวียนเฟยตอบว่า “พูดตามตรงไม่เรียกว่ากลอุบาย ฝ่าบาทลองดมกลิ่นดูว่าบนป้ายนั้นมีกลิ่นน้ำหอมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยกขึ้นดมแน่นอนว่ามีกลิ่นหอมจางๆ มาจากป้ายหงส์
เขาครุ่นคิด “กลิ่นน้ำหอมของสตรี กระหม่อมไม่คุ้นเคยจึงไม่มีความรู้เท่าไรนัก เหล่าคุณหนูต่างมีกลิ่นหอมเป็นของตัวเอง เมื่อปะปนกันจึงแยกไม่ออกป้ายที่พวกนางสัมผัสก็มีกลิ่นหอมเช่นกัน หลังจากนั้นกระหม่อมพบว่าน้ำหอมที่พวกนางใช้ไม่เหมือนกัน”
“เพราะฉะนั้นคุณหนูหมิงใช้วิธีนี้ระบุป้ายหงส์งั้นหรือ”
“เป็นการคาดเดาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนั้นมีกลิ่นหอมมากมาย กลิ่นที่ตกค้างบนป้ายเบาบางมากต้องเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสพิเศษถึงจะแยกออก”
“…”
เสวียนเฟยโค้งกาย “กระหม่อมบกพร่องในการตรวจสอบฝ่าบาทลงโทษกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเงียบอยู่นาน ฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วคืนป้ายหงส์แก่เขา “เรื่องที่ท่านทำในวันนี้มีมากกว่านั้นใช่หรือไม่”
เสวียนเฟยเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็คุกเข่าเป็นครั้งที่สอง “กระหม่อมมีความผิด”
ฮ่องเต้หันข้างและมองลงมาที่เขา “อ้อ ทำผิดอะไร”
เสวียนเฟยตอบ “เหตุผลที่คุณหนูหมิงจับได้ป้ายอันดับหนึ่งเป็นเพราะกระหม่อมอำนวยความสะดวกเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่ตาลง เสวียนเฟยก้มหน้า “แล้วยังคุณหนูเหวินท่านนั้น กระหม่อมก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่มันค่อนข้างยุ่งยากในการจัดการจึงใช้วิธีทางอ้อม”
“วิธีทางอ้อมที่ท่านพูดหมายถึงแต้มชาดบนป้าย แต่กลับปล่อยนางเข้ามาระหว่างการตรวจสอบ”
“กระหม่อมยอมรับผิดพ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยย้ำอีกครั้ง “เพราะกระหม่อมไม่มั่นใจว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากคิดดูแล้วจึงทำได้เพียงเปิดเผยต่อฝ่าบาทเท่านั้น”
ฮ่องเต้เงียบอยู่นาน และในที่สุดก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านกำลังขอความช่วยเหลือจากเจิ้นใช่หรือไม่”
เสวียนเฟยตอบอย่างใจเย็น “เสวียนตูกวันคือเสวียนตูกวันของกระหม่อม เป็นเสวียนตูกวันของฝ่าบาท และยังเป็นเสวียนตูกวันของต้าฉีด้วย หากต้องการทำความสะอาดอาจมีความวุ่นวายอยู่บ้าง หากไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาทกระหม่อมก็ไม่กล้าลงมือ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ใดอำนวยความสะดวกให้พวกเขา”
เสวียนเฟยตอบอย่างใจเย็น “ทางตระกูลเหวินกระหม่อมมีหลักฐานที่แน่ชัดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคุณหนูหมิงล่ะ เหตุใดท่านถึงอำนวยความสะดวกให้พวกเขา” เสวียนเฟยก้มศีรษะไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้มองเขาอย่างเย็นชา และในที่สุดก็เดินจากไป “ท่านคิดมากเกินไป หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจัดการเอาเองเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ ทูลลาฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ลงจากห้องใต้หลังคา จวินโม่หลีที่เฝ้าอยู่ด้านล่างก็วิ่งขึ้นไป
“ศิษย์พี่!” เสวียนเฟยยืนขึ้นด้วยการช่วยประคองจากเขา
“ว่าอย่างไรบ้าง” จวินโม่หลีถามอย่างกังวลใจ “ฝ่าบาทโกรธท่านหรือไม่”
เสวียนเฟยยกมุมปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราสามารถลงมือได้”
จวินโม่หลีเบิกตากว้างเขาระงับความตื่นเต้นของตนเอง “หมายความว่าพวกเราสามารถจัดการอวี้หยางได้แล้วใช่หรือไม่”
“อืม”
“ฮ่าๆ!” จวินโม่หลีหัวเราะ และกล่าวชื่นชมเขาด้วยความเลื่อมใส “ศิษย์พี่เก่งกาจจริงๆ สามารถใช้เรื่องนี้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาทได้!”
เสวียนเฟยลูบข้อมือช้าๆ แล้วพูดว่า “ความเสี่ยงในครั้งนี้ใหญ่มาก หากเสวียนตูกวันหลังจากที่จัดการแก้ไขเรื่องต่างๆ ไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทพอใจได้ก็คงต้องโทษหลายประการ”
จวินโม่หลีเชื่อใจเขามาก “ศิษย์พี่ออกโรงเองมีอะไรไม่สำเร็จกัน อวี้หยางอย่าคิดที่จะสู้เลย! เสวียนตูกวันหลังจากนี้จะเป็นเสวียนตูกวันที่มั่นคงแข็งแกร่งแน่นอน!”
เสวียนเฟยส่ายหน้า “คำพูดนี้ทำสำเร็จก่อนแล้วค่อยพูด! ไป! เราต้องไปส่งเสด็จ”
……….
ฮ่องเต้ขึ้นราชรถแล้วพบว่าเผยกุ้ยเฟยอยู่ในนั้นแล้ว
ปกติเผยกุ้ยเฟยเมื่อได้รับความโปรดปราน และความไว้วางใจจะไม่ทำตัวหยิ่งยโส ในสถานการณ์ต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้ต้องปฎิบัติตามกฏระเบียบไม่นั่งในรถม้าคันเดียวกับฮ่องเต้ แต่ครั้งนี้นางทำ
“ฝ่าบาท!” ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยื่นมือประคองนาง
“เหตุใดสนมรักถึงอยู่ที่นี่”
ขบวนเสด็จออกเดินทางล้อเลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เผยกุ้ยเฟยพูดว่า “หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายใจจึงมาขอรับโทษจากฝ่าบาท”
“อ้อ”
เผยกุ้ยเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความกังวล “เหตุผลที่แม่นางหมิงจับได้ป้ายอันดับหนึ่ง เป็นเพราะหม่อมฉันขอร้องท่านราชครูเพคะ”
ฮ่องเต้เงียบไม่พูดอะไร
เผยกุ้ยเฟยอธิบายให้เขาฟังว่า “ฝ่าบาทคงทราบความคิดของอาเหยี่ยนดี หม่อมฉันทนเห็นเขาผิดหวังไม่ได้ ก่อนหน้านี้ท่านราชครูปฎิเสธหม่อมฉันแล้ว บอกว่าการจับป้ายหงส์ต้องจำเป็นต้องใช้โชค การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการไม่เคารพ
หม่อมฉันไม่มีทางเลือกจึงให้ชุนชุ่ยคอยสนับสนุนอยู่ด้านนอก พอทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงการจับป้ายจึงให้เขาไปขอร้องท่านราชครูอีกครั้ง ท่านราชครูถึงตอบรับ…ฝ่าบาท เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง แต่หม่อมฉันรับรองได้ว่าการจับป้ายหงส์ท่านราชครูไม่ได้ช่วยอะไรนะเพคะ!”
เสวียนเฟยบอกความจริงให้ฮ่องเต้ฟังก่อนหน้านี้แล้ว เขารู้มากกว่าเผยกุ้ยเฟย
อย่างเช่นเหตุผลที่เสวียนเฟยตอบตกลงในครั้งที่สองนั้น หนึ่งเพราะไม่ต้องการทำให้กุ้ยเฟยขุ่นเคือง สองเพราะต้องการยืมมือของหมิงเวยกระตุ้นเรื่องนี้เพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้ตระกูลเหวิน และไท่จื่อเกลียดชัง
พูดตามตรงเสวียนเฟยตัดสินใจด้วยตนเองเขาไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แต่ในทางกลับกันฮ่องเต้ก็ถูกอกถูกใจเขา มีเล่ห์อุบาย มีคนที่ต้องการ สะดวกกว่าในการควบคุม และอุบายรวมถึงความต้องการของเสวียนเฟยไม่ได้เกินขอบเขตที่เขาตั้งไว้
ฮ่องเต้รู้สึกว่าเขาแตกต่างจากฮ่องเต้องค์ก่อนๆ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ราชครูที่มีคุณธรรมสูงส่งไร้ที่ติอย่างราชครูซูสิง
เป้าหมายของคนผู้นั้นสูงเกินไป จิตใจของเขาบริสุทธิ์เกินไปซึ่งจะทำให้เขารู้สึกไม่เป็นอิสระ ดังนั้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเขาจึงให้ความเคารพ แต่ไม่ใกล้ชิดกับราชครูซูสิง และเสวียนเฟยได้เติมเต็มความต้องการของเขาพอดี
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่เขาสารภาพความผิด ฮ่องเต้จึงยินดีที่จะให้โอกาสเขา
เขาต้องการกำจัดอวี้หยาง ได้
หากเสวียนเฟยสามารถคว้าเสวียนตูกวันมาไว้ในมือได้ก็เทียบเท่ากับการที่เสวียนตูกวันอยู่ในมือของตนด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก
ในตอนที่ราชครูซูสิงยังมีชีวิตอยู่ฮ่องเต้อย่างเขาไม่สามารถยื่นมือเข้าไปในเสวียนตูกวันได้เลย
เมื่อเทียบกันแล้วการคัดเลือกพระชายาเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนหรือ หากสามารถคว้าเสวียตูกวันมาได้อย่างสมบูณณ์ ฮ่องเต้ก็ปล่อยมืออย่างไม่ถือสา
“สนมรักลุกขึ้นเถอะ ในเมื่อนางจับป้ายหงส์ได้ตั้งสองครั้งคงมีวาสนากับอาเหยี่ยนจริงๆ”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองฮ่องเต้ด้วยความรักและความชื่นชม “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้อภัยเพคะ” ฮ่องเต้ยิ้มและกระชับมือนาง
ผ่านไปครู่หนึ่งเผยกุ้ยเฟยก็ลองใจถามไปว่า “ฝ่าบาท แม่นางเหวินผู้นั้น ฝ่าบาทจะจัดการอย่างไรหรือเพคะ”
ฮ่องเต้หรี่ตา “สนมรักมีความคิดอะไรหรือ”
เผยกุ้ยเฟยพูดขึ้น “พฤติกรรมของตระกูลเหวินหม่อมฉันไม่กล้าออกความเห็น แต่คุณหนูเหวินยังคงเป็นสตรีตัวเล็กๆ ถึงหยิ่งยโสไปหน่อย แต่ไม่ใช่โทษหนักอะไร มีหรือที่ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ต้องการแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของสตรี แม้ว่านางทำผิด แต่ก็ผิดที่การเลี้ยงดูให้การศึกษา หม่อมฉันอยากขอความกรุณาจากฝ่าบาทให้ลงโทษสถานเบาก็พอเพคะ”
ฮ่องเต้พูดช้าๆ “แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์งั้นหรือ ย่อมได้ ในเมื่อไท่จื่อรักและทะนุถนอมน้องสาวมากก็ให้เขาเป็นคนสอนนางเถอะ หากปรารถนาเช่นนั้นก็ย่อมให้ได้เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของไท่จื่อ”