คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 49 ไร้วาสนา
รถม้าจอดที่หน้าประตูอาหว่านลุกออกจากรถม้าก่อน
หมิงเวยนั่งอยู่ในรถม้าดึงแขนเสื้อตนเองโดยไม่รู้ตัว
“คุณหนูเจ้าคะ” ซู่เจี๋ยตื่นตระหนก
หมิงเวยเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยให้นางสบายใจขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อตัวนางเองก็รู้สึกใจหนักอึ้งไม่กล้าคิดแล้วก็ไม่อยากคิดด้วย
เมื่อวานหยางชูไม่ยอมเสี่ยงที่จะปล่อยตัวนาง แต่เมื่อรู้ว่าตระกูลหมิงเกิดเรื่องขึ้นถึงได้ยอมปล่อย มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลหมิงนั้นทำให้เขาไม่กังวลว่านางจะพูดเรื่องอันใดออกไป
เป็นเรื่องแบบไหนกันถึงได้สามารถรับประกันแก่เขาได้
หลังจากนั้นไม่นานอาหว่านก็มาเรียกนาง “แม่นางหมิง ข้าน้อยจัดการให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยลงจากรถแล้วเปลี่ยนไปนั่งเกี้ยวกับซู่เจี๋ย หลบเลี่ยงผู้อื่นแล้วเข้าสวนอวี๋ฟางอย่างเงียบๆ
สวนอวี๋ฟางในวันนี้เงียบสงบเป็นพิเศษ สาวใช้ที่แต่ก่อนเห็นมาๆ ไปๆ กลับไม่เห็นแม้แต่เงา หมิงเวยลงจากเกี้ยวสิ่งแรกที่นางเห็นคือตัวฝูที่ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
“คุณหนู!” พอเห็นหมิงเวย ตัวฝูก็รีบวิ่งเข้ามาหา และร้องไห้สะอึกสะอื้น
หัวใจของหมิงเวยจมดิ่งลงเบื้องล่าง ได้ยินซู่เจี๋ยถามซ้ำๆ ไปว่า “เกิดอันใดขึ้น เจ้าร้องไห้ทำไมกัน”
หมิงเวยไม่รอคำตอบจากตัวฝู นางก้าวเท้าไปหาฮูหยินสาม ก้าวหนึ่งลึก ก้าวหนึ่งตื้น ระยะทางไม่ไกลแต่รู้สึกเหมือนว่าเดินมานานแล้ว ห้องของฮูหยินสามเต็มไปด้วยผู้คน เหล่าฮูหยินพูดคุยกันเสียงเบา ส่วนเหล่าสาวใช้กำลังเช็ดน้ำตา
เมื่อเห็นหมิงเวยเดินเหม่อลอยเข้ามา ปิงซินที่ร้องไห้น้ำตานองก็ร้องขึ้นมา
“คุณหนู!” แล้วนางก็ปล่อยโฮออกมา
นางร้องไห้ราวกับน้ำมันราดรดกองไฟแล้วทุกคนในห้องก็ร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า
“เสี่ยวชี!” ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่ และฮูหยินหก ทั้งสามคนต่างพากันยืนขึ้นเมื่อเห็นนาง ฮูหยินสองเดินเข้ามากอดนาง “เด็กดี เจ้าอย่าดูเลย กลับห้องไปก่อนดีกว่านะ”
ฮูหยินสี่พูดว่า “ตัวฝู รีบพาคุณหนูของเจ้ากลับห้องไปเร็ว”
หมิงเวยยืนนิ่ง ฮูหยินสองพยายามพานางออกไป “ที่นี่เกิดเรื่องวุ่นวาย เจ้ากลับไปก่อน เชื่อฟังป้านะ”
อย่างไรก็ตามเท้าของนางดูเหมือนจะมีรากหยั่งลึกจนฮูหยินสองไม่สามารถดันนางออกไปได้เลย
“หลีกไปเจ้าค่ะ” หมิงเวยบอกเบาๆ
ฮูหยินสองถูกหมิงเวยจับข้อมือแล้วผลักออกไปอย่างนุ่มนวล และชำนาญทั้งๆ ที่ไม่เห็นว่านางใช้กำลังแต่อย่างใด
“เสี่ยวชี!” ฮูหยินสี่เข้ามาขวาง แต่หมิงเวยก็เดินผ่านนางไป
“คุณหนู!” แม่นมถงยืนอยู่ข้างเตียงใบหน้าแก่ชรามีน้ำตาไหลพราก หมิงเวยยืนนิ่งอยู่หน้าเตียงนอนแล้วก้มลงมอง ฮูหยินสามนอนอยู่ตรงนั้น นางนอนหลับตาพริ้มราวกับกำลังหลับใหล
แต่ใบหน้างามนั้นเป็นสีม่วงดูบิดเบี้ยวไร้ความมีชีวิตชีวาราวกับรูปปั้นประติมากรรม หมิงเวยค่อยๆ คุกเข่าลงจับมือที่เย็นเฉียบของฮูหยินสามขึ้นแนบกับใบหน้าของนางเบาๆ
นางนึกถึงคำพูดที่ตนพูดไปเมื่อคืน ชาตินี้ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็ได้รับความรักความเอ็นดูจากนาง พวกเราถูกลิขิตให้เป็นแม่ลูกกัน
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้น นางยังจำได้หลังจากที่ตนพอรู้ความแล้ว นางเคยถามท่านอาจารย์ว่าทำไมนางถึงไม่มีมารดา
ท่านอาจารย์บอกว่าการอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นเรื่องของโชคชะตา บางคนอยู่เคียงข้างกันเป็นเวลานานเพราะวาสนาของพวกเขาลึกซึ้ง แต่บางคนอยู่เคียงข้างกันในเวลาสั้นๆ เพราะวาสนาของพวกเขาตื้นเขิน
ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา บุตรชายหญิง สามีภรรยา สหายรู้ใจ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่น นางมีความผูกพันกับบุคคลในสายเลือดเดียวกันน้อยมาก
นางมาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดนางยังคิดเลยว่าในที่สุดชาตินี้ก็มีความผูกพันทางสายเลือดที่ลึกซึ้งมากขึ้น
แต่สุดท้าย…
“ฮูหยินเจ้าคะ” แม่นมถงคร่ำครวญเสียงดัง “ฮูหยินลืมตาขึ้นมาดูสิเจ้าคะ! เหตุใดถึงทิ้งคุณหนูไป ปล่อยให้นางเดินไปคนเดียวเช่นนี้!”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นแล้วนางก็พบรอยแผลลึกที่คอของฮูหยินสาม
“แม่นม” เสียงของนางนิ่งสงบอย่างไม่มีเหตุผล “เมื่อคืนวาน ท่านแม่ยังดีอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้แขวนคอได้”
ก่อนที่นางจะจากไปฮูหยินสามยังคิดอยู่เลยว่าหลังจากจบเรื่องนี้จะพานางไปยังเมืองหลวง แล้วพวกนางสองแม่ลูกก็จะมีชีวิตที่ดี เห็นได้ชัดว่านางเปี่ยมไปด้วยความหวัง เห็นได้ชัดว่ายังคงดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วเหตุใดจู่ๆ นางถึงได้ฆ่าตัวตายกัน
แม่นมถงได้ยินคำถามนี้จึงหันไปมองฮูหยินหกอย่างแค้นๆ ฮูหยินหกหันหน้าไปทางอื่นอย่างอึดอัด ฮูหยินสองเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกไม่ดีจึงเอ่ยห้ามปราม “แม่นมถง! ต่อหน้าวิญญาณน้องสะใภ้สาม เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ!”
แม่นมถงยิ้มเยาะ “บ่าวยังไม่ได้พูดอันใดเลย ฮูหยินสองจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าเป็นเรื่องไร้สาระ สวรรค์เป็นพยาน มิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรม มีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้กันเจ้าคะ”
ฮูหยินสี่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเรียกแม่นมคนสนิทของนางทันที “แม่นมหยู พี่สะใภ้สามเพิ่งจากไป ภายในห้องกำลังสับสนวุ่นวาย ท่านช่วยบอกพวกนางว่ามีเรื่องใดที่ต้องทำบ้าง งานศพมีเรื่องมากมายต้องจัดการ!”
พริบตาเดียวภายในห้องก็เหลือเพียงเหล่าฮูหยิน หมิงเวย และแม่นมถง แม้กระทั่งปิงซิน ซู่เจี๋ย และตัวฝูยังถูกกันให้ออกไปด้านนอก
ฮูหยินสองเข้ามาชักชวน “เสี่ยวชี ป้ารู้ว่าเจ้าสูญเสียคนสำคัญไปกะทันหัน คงจะเสียใจมาก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องผิดพลาดโดยบังเอิญจริงๆ ไม่แปลกใจ…”
“ฮูหยินสองจะพูดแก้ต่างให้ผู้ใดกันเจ้าคะ” เสียงแหลมๆ ของแม่นมถงดังขัดจังหวะนาง “ดูกระตือรือร้นทำเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”
แม่นมถงเป็นแม่นมของฮูหยินสามซึ่งแตกต่างจากคนรับใช้ทั่วไป เดิมทีฮูหยินสองไม่อยากโต้เถียงกับนาง เมื่อถูกพูดจาดูถูกอยู่หลายครั้งเข้านางจึงรู้สึกรำคาญเช่นกัน
“แม่นมถง อาจจะฟังดูไม่ดี แต่น้องสะใภ้สามก็จากไปแล้ว เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำร้ายชื่อเสียง และเกียรติยศของนาง นอกจากนี้เสี่ยวชีก็ยังอยู่ที่นี่ นางตัวคนเดียวเรื่องเช่นนี้สมควรพูดต่อหน้านางงั้นหรือ”
แม่นมถงยังคงยิ้มเยาะนางไม่ยอมถอย “คุณหนูเป็นบุตรสาวของฮูหยิน ฮูหยินเสียไปอย่างไม่ชัดเจนเช่นนี้ จะไม่เรียนให้นางทราบได้อย่างไรเจ้าคะ หากยังสับสนอยู่เช่นนี้ แล้วภายภาคหน้าผู้อื่นได้ยินข่าวลือ คุณหนูจะแก้ต่างแทนมารดาได้อย่างไร”
ฮูหยินสองขมวดคิ้ว “จะไม่ชัดเจนได้อย่างไรกัน แม่นมถง ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจมาก แต่คำพูดเช่นนี้…”
“ท่านป้าสอง…” เสียงของหมิงเวยดังขึ้นขัดจังหวะนาง นางจับมืออันเย็นเฉียบของฮูหยินสามไปไว้ใต้ผ้าห่มอย่างระมัดระวังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังผู้อาวุโสทั้งสามท่าน
“ท่านแม่ของหลานตายได้อย่างไร ความจริงอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้เพราะคำพูดไม่กี่คำจากผู้อื่น นางให้กำเนิดหลาน เลี้ยงดูหลาน รักหลานเท่าชีวิต เช่นนี้แล้วยังไม่ควรบอกให้หลานรู้อีกหรือ แม้กระทั่งการตายของท่านแม่ก็ยังคิดปิดบัง งั้นหลานคงไม่สมควรเป็นคนแล้ว แม้การตายของนางจะเป็นเรื่องเสื่อมเสีย แต่หลานก็ควรยอมรับ นางเป็นท่านแม่ของหลาน ไม่ว่าจะดีหรือร้ายหลานก็ต้องรับรู้!”
ฮูหยินสองตกใจ “เสี่ยวชี…”
คุณหนูเจ็ดในภาพจำของนางยังคงเป็นเด็กสาวโง่ๆ ผู้หนึ่ง ถึงภายหลังจะบอกว่าหายดีแล้วก็แค่รู้สึกว่านางพูดมีระเบียบมากขึ้น ท้ายที่สุดนางเป็นคนแบบใดก็ยังไม่ชัดเจน เมื่อเห็นท่าทีอันทรงพลังของนางในตอนนี้การพูดที่มีเหตุมีผล นางก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เรื่องงานศพถึงแม้นางจะเป็นคนออกหน้า แต่เจ้าภาพที่แท้จริงของงานนี้ก็ไม่ใช่นาง!
ขณะที่กำลังรู้สึกลำบากใจเสียงของสาวใช้ด้านนอกก็ดังลอดเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า!”
ทุกคนในห้องมองไปที่ประตูแล้วก็เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเดินเข้ามา
คนที่ตามหลังนางมาคือนายท่านสอง และนายท่านสี่ และคนที่อยู่ตรงกลางนั้น
พอมองดูชัดๆ เขาคือนายท่านหก!
……………………………………………….