คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 493 กระดาษวาดรูป
เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนหลังคา ผู้คนบนถนนก็หายไป ในโลกที่ไร้ช่องว่างให้โจมตีก็มีช่องโหว่เล็กน้อยเช่นกัน
หมิงเวยเหลือบมองก็รู้ว่าควรออกทางไหน แต่นางไม่ขยับเพราะนางอยากรู้จักบุรุษชุดครามผู้นี้ บุรุษชุดครามดูจากหน้าตาแล้วน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ดูไม่คุ้นเคย แต่ก็รูปงามมาก
จมูกตั้งตรง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้ม มีกลิ่นอายราวกับคุณชายจากตระกูลขุนนาง หากในมือถือพัดสักเล่มหนึ่งคงเหมือนมากขึ้น
หมิงเวยพยักหน้าแม้จะคุ้นเคยกับบุรุษรูปงาม รูปลักษณ์ของเขาก็นับว่าดูดี อยู่ในระดับเดียวกับเสวียนเฟยได้ อาจเป็นเพราะรูปงามมากพอนางจึงจดจำใบหน้าของเขาได้ง่ายขึ้น และมั่นใจว่าตนไม่เคยพบเขามาก่อน
“ท่านเป็นผู้ใด”
คนผู้นั้นยิ้มแล้วตอบว่า “ปรมาจารย์แห่งชีวิต”
รอยยิ้มบนใบหน้าหมิงเวยชะงักค้างนางถามเสียงเข้ม “ท่านพูดอะไร”
“ข้าบอกว่าข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตคนปัจจุบัน”
หมิงเวยไล่สายตาจากหัวจรดเท้าอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงเย็นชา “ผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตต้องมีป้ายคุ้มกันเป็นหลักฐาน ท่านมีหรือไม่”
คนผู้นั้นยิ้ม “ป้ายคุ้มกันมีปัญหานิดหน่อย แต่จะได้กลับมาในอีกไม่ช้า”
“…ท่านเป็นผู้ใดกันแน่” หมิงเวยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามต่อ
ตั้งแต่นางมายังยุคสมัยนี้หากนับคนที่นางพูดถึงคำว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตด้วยมีไม่กี่คนเท่านั้นซึ่งปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนกันหมด
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้จะเข้าใจในภายหลัง แต่ก็ต้องสืบก่อนถึงจะรู้
ในหลายร้อยปีนี้สำหรับโลกมนุษย์ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ตำนานกลับสู่ความสงบ
หลังจากนั้นหมิงเวยจึงไม่พูดถึงอีก นางคิดว่าต้องให้ท่านอาจารย์ปู่ได้รับป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิต ชื่อนี้ถึงสามารถปรากฏขึ้นได้อีกครั้งบนโลกใบนี้
เขาเป็นคนแรกที่เริ่มพูดถึงปรมาจารย์แห่งชีวิตกับนาง และเป็นคนแรกที่ทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำ
เขาพูดว่า “ข้าคิดว่าหลังจากเมื่อคืนท่านคงเตรียมพร้อมแล้วเสียอีก”
“คนเมื่อคืนเป็นท่านงั้นหรือ” บุรุษชุดครามพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“…” หมิงเวยมองเขาอย่างระวังตัว
ผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่น่ากลัว แต่ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดเช่นเดียวกันกับนางแล้วบอกว่าตนเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตนั้นควรแก่การพิจารณาอย่างระมัดระวัง
ในตอนนี้ท่านอาจารย์ปู่ยังไม่ได้สืบทอดคนผู้นี้บอกว่าตนเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งชีวิตมาจากที่ใดกัน
“ที่มาของข้าน่าอัศจรรย์แค่ไหนไม่มีอะไรต้องพูดเพราะข้าเป็นคนบนโลกใบนี้ มีดวงชะตาเป็นของตนเอง แต่ท่านเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยอยู่ในห้วงเวลา บุคคลไร้ชีวิตที่ไม่ควรอยู่บนโลกใบนี้ ดูไม่เหมาะสมที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ บนโลก”
จู่ๆ หมิงเวยก็อยากจะหัวเราะออกมา “ดังนั้นท่านจึงมาเพื่อจัดการกับข้างั้นหรือ”
บุรุษชุดครามพยักหน้า “ในฐานะปรมาจารย์แห่งชีวิตควรปกป้องโชคชะตาของโลกใบนี้”
หมิงเวยหัวเราะเสียงดังจริงๆ คำพูดนี้เป็นคำพูดที่นางใช้มาตลอด แต่ตอนนี้ มีคนอื่นจะใช้ฐานะปรมาจารย์แห่งชีวิตจัดการนาง
“ท่านหัวเราะอะไร หรือข้าพูดอะไรผิดไป ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใดมาจากไหน แต่สำหรับโลกใบนี้ท่านเป็นคนไร้ชีวิตที่ไม่ควรมีตัวตน”
หมิงเวยหุบยิ้มแล้วพูดเสียงเรียบ “ข้าหัวเราะที่มีผู้ใดที่ไหนไม่รู้ แม้จะไม่รู้ว่าท่านไปเอาคำว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตมาจากที่ใด แต่บนโลกนี้มีปรมาจารย์แห่งชีวิตได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
บุรุษชุดครามกำด้ามร่มและจ้องมาที่นาง “เพราะฉะนั้น ท่านจะจัดการกับข้าหรือ”
สายตาของหมิงเวยเย็นชา “แม้ข้าจะเป็นคนไร้ชีวิต แต่ที่มาของข้าสามารถสืบหาได้ แต่ท่านต่างหากที่เป็นตัวประหลาดที่แท้จริง!”
ที่มาของนางชัดเจนมากท่านอาจารย์ปู่ได้รับป้ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตที่เสวียนตูกวัน และทำให้ชื่อของปรมาจารย์แห่งชีวิตกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง จากนั้นก็ส่งต่อให้ท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์ก็ส่งต่อให้นางอีกที
เป็นเส้นทางที่ชัดเจนมากเพียงแต่เส้นทางนั้นคืออนาคตอีกไกลโพ้น
แล้วบุรุษชุดครามผู้นี้ล่ะ เขาเป็นคนบนโลกนี้แล้วอย่างไร ปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่มีทางสืบทอดไปอยู่ในมือเขาได้ จู่ๆ เข้ามาแทรกแซงเช่นนี้หากปล่อยเขาไปก็จะทำให้เส้นทางนั้นพันยุ่งเหยิง
บุรุษชุดครามนั้นกลับไม่โกรธ แต่พยักหน้าด้วยความชื่นชม “ความมุ่งมั่นและตั้งใจเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่ท่านเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตในอนาคต แต่แม้ข้าจะชื่นชมท่านข้าก็ต้องจัดการท่านอยู่ดี การมีอยู่ของท่านจะนำโลกนี้ไปสู่อนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ ในเมื่อท่านเคยเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตมาก่อนก็ควรเข้าใจในภารกิจนี้ ตอนนี้ท่านจะละเมิดกฎของปรมาจารย์แห่งชีวิตหรือ”
หมิงเวยยิ้มอย่างดูถูก “ข้าไม่รู้ที่มาของท่านมาก่อน ตอนนี้ท่านพูดเช่นนี้ข้าจึงรู้ว่าท่านมันก็แค่คนป่าจริงๆ หากปรมาจารย์แห่งชีวิตยังคงปกป้องโชคชะตาของโลกใบนี้อยู่ แค่ก้าวไปข้างหน้าตามระยะเวลาที่กำหนด แล้วมันแปลกตรงไหนกัน ผู้ที่มีเคล็ดวิชาสูงส่งก็สามารถทำได้จะต้องสืบทอดรุ่นสู่รุ่นอย่างระมัดระวังเช่นนี้ด้วยหรือ หากท่านไม่เข้าใจก็อย่าทำให้ชื่อของปรมาจารย์แห่งชีวิตต้องแปดเปื้อน! ”
ปรมาจารย์แห่งชีวิตเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อในโชคชะตามากที่สุดในโลกใบนี้ พวกเขารู้มากเกินไป เพราะฉะนั้นถึงได้เข้าใจว่าไม่มีโชคชะตาใดในโลกนี้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อย่างเช่นโชคชะตาตี้ชิงของหยางชูทิศทางในชาติก่อนเขาใช้ชีวิตพเนจร
โชคชะตาไม่ได้แข็งทื่อมากนักมักมีเส้นทางให้เดินอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นเดียวกันจะมีทางแยกนับไม่ถ้วน และในที่สุดก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
นางกำลังเปลี่ยนแปลงอนาคต แต่ในแง่ของกฎธรรมชาติไม่ควรค่าที่จะพูดถึง
ในเมื่อมีตัวเลือกให้ก็ปล่อยให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันไป ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกก็ปล่อยให้โลกเดินไปในอีกทิศทางหนึ่งซึ่งก็เป็นการปกป้องโชคชะตาของโลกไม่ใช่หรือ
บุรุษชุดครามเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านทำให้เกิดการบิดเบี้ยวไปแล้ว อนาคตที่ท่านเปลี่ยนไม่มีทางเป็นอนาคตที่ดีกว่า ท่านจะต่อต้านพลังของประวัติศาสตร์ด้วยกำลังคนเดียวได้อย่างไร”
หมิงเวยส่ายหน้า “ข้าไม่อยากอธิบายให้ท่านฟัง ท่านมองข้าเป็นตัวประหลาดเป็นคนที่ต้องกำจัด สำหรับข้าแล้วท่านต่างหากที่เป็นตัวประหลาด จำเป็นต้องกำจัด มาเถอะในเมื่อท่านคิดว่าตนเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิต มาดูกันว่าผู้ใดจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้”
นางไม่พูดอะไรมาก แต่ยกขลุ่มจรดริมฝีปากอีกครั้ง เสียงขลุ่ยที่ดังออกมาในครั้งนี้มีเจตนาสังหารที่รุนแรง ผลึกน้ำแข็งแปรสภาพไปในอากาศ
บุรุษชุดครามหมุนด้ามร่มซัดใส่ผลึกน้ำแข็งจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากนั้นก็มีดอกไม้ลอยล่อง ในความงดงามนั้นมีจิตสังหารที่ไร้สิ้นสุด
ตัวฝูได้ยินเสียงขลุ่ย แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ และไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ด้วย
ด้วยทักษะปัจจุบันของนางในแวดวงเสวียนชื่อนางเป็นยอดฝีมืออย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่เข้าสู่เส้นทางนี้นางรู้ว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงใด จนกระทั่งตอนนี้นางตระหนักได้ว่าพลังของตนเองไม่มีผลอะไรต่อหน้าคุณหนู
ในแง่ของทักษะนางไม่แพ้ แต่หากต้องเปลี่ยนเป็นการสังหารอย่างแท้จริง นางยังห่างไกลจากความสามารถเช่นนั้น จากความว่างเปล่าสู่ความเป็นจริง จากความเป็นจริงสู่ความว่างเปล่า
จิตสังหารที่ออกมาจากเสียงขลุ่ยทำให้โลกค่อยๆ แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ตัวฝูมองดูโลกนี้ค่อยๆ พร่ามัว ราวกับภาพวาดที่ค่อยๆ สูญเสียสีสัน
ในที่สุดเสียงคนก็ดังเข้ามาในหูฝูงชนที่หายตัวไปก็กลับมาที่ถนน ตัวฝูตื่นขึ้นมาในทันใด และพบว่าตนเองนั่งอยู่ที่ประตูของเชิ่งจี้โดยมีชามน้ำแข็งที่ยังเย็นอยู่ในมือ
“คุณหนู!” นางตะโกน
หมิงเวยเองก็ลืมตาขึ้น นางเห็นลมพัดกระดาษมาตกลงที่ม้านั่งตรงหน้านาง
เมื่อมองลงไปก็พบว่ามันคือกระดาษวาดรูป ถนนใหญ่ที่สระฉางเล่อบนกระดาษวาดภาพนั้นเหมือนจริงมากซึ่งบนถนนไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว
……………