คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 495 ทำไม
รถม้าเข้ามาทางประตูหลังขับมาจนถึงลานบ้านแล้วจึงหยุด
หมิงเวยได้ยินเสียงอาหว่านตำหนิ “มายืนตรงนี้ทำอะไรกันไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร ไปๆๆ! ท่านอ๋องไม่ต้องการพวกเจ้า!”
หยางชูพูด “จวนอ๋องแห่งนี้มีหูตาทุกหนแห่งจึงต้องให้อาหว่านกลับมาเล่นบทร้ายเสียก่อน”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “งานนี้เหมาะกับนางดี”
จวนอ๋องมีระเบียบข้อบังคับ ผู้ใต้บังคับบัญชา องครักษ์ล้วนมีระดับ ในเมื่อเขาได้รับตำแหน่งเรื่องเหล่านี้จึงขาดไม่ได้
องครักษ์ยังดีเพราะหยางชูมีเหล่าขุนศึกอยู่แล้วจึงมีตำแหน่งให้ลง ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นถูกส่งมาจากราชสำนักรวมทั้งบ่าวรับใช้ นางในก็ถูกส่งมาเช่นกัน
คนพวกนี้มาจากไหนผู้ใดจะรู้ดังนั้นอย่าคิดว่าเขาจะเลือกคนด้วยตนเอง ถึงที่นี่เป็นอาณาเขตของเขาแล้ว แต่ที่จริงแล้วมีคนคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดทุกที่ ราวกับทั้งจวนอ๋องโปร่งใสราวกับตะแกรง…
แน่นอนว่าต้องจัดการเส้นสายพวกนั้น แต่ไม่ควรให้ชัดเจนเกินไปจึงต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตอนนี้อาหว่านเป็นผู้จัดการคนในเรือนซึ่งทำได้ดีส่วนด้านนอกต้องค่อยๆ จัดการและเปลี่ยนคน
“มาสิ” หยางชูจับมือและอุ้มนางลงจากรถด้วยตนเอง ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็น
ในสายตาของทุกๆ คน เยวี่ยอ๋องเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในเสน่หาถูกสตรีผู้หนึ่งทำให้กลายเป็นคนที่มีจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล ก่อนหน้านี้หยางชูประสบความสำเร็จอย่างมากในซีเป่ย และเป็นที่พูดถึงกันในหมู่ประชาชน หากไม่มีเรื่องอื่นดึงความสนใจ เกรงว่าคงคุยเรื่องนี้กันต่อไปสักพัก
แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขานึกถึงเยวี่ยอ๋องคนใหม่ที่ได้รับแต่งตั้ง สิ่งแรกที่ผู้คนนึกถึงคือการจับป้ายหงส์เลือกพระชายา จากนั้นก็เป็นเรื่องที่เขาถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง และการสร้างผลงานจึงได้กลับเมืองหลวงอีกครั้ง
หยางชูมีความสุขมากที่ได้เล่นบทนี้จะได้ไม่ต้องถูกพวกจิตใจคับแคบนึกถึงบ่อยนัก
เมื่อเข้าไปในห้องและไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่แล้วหยางชูก็อุ้มนางขึ้นกดนางกับประตูและเริ่มจูบ พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันมานานมากนับตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวง ขนาดพบหน้ากันยังต้องแอบเลยจึงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ที่บ้านของหนิงซิวได้หรอก
หมิงเวยผลักเขาออก “มีเรื่องสำคัญ…”
“ข้าส่งคนไปตามศิษย์พี่แล้วยังพอมีเวลา” เขาพูดเสียงพึมพำ และโน้มตัวเข้ามาหา
หมิงเวยคิดเมื่อครู่เขาต่อสู้กับบุรุษชุดครามซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดุเดือด อารมณ์ของมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้เดาว่าเขาคงทนไม่ไหวแล้วจึงปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
…………
อาหว่านนั่งอยู่ที่ประตูเรือนบนทางเดินพลางมองลอดเข้าไปเป็นระยะๆ
อาสวนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เป็นสตรีเอาแต่จ้องพวกเขาที่อยู่ในห้องทำไมกัน”
เดิมทีอาหว่านเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเขาโน้มเข้ามาจึงถือโอกาสดึงเข้ามาคุย “มีเรื่องหนึ่ง ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ”
“เรื่องอะไร”
“พวกเขาสองคนก็…กันมานานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย”
“การเคลื่อนไหวอะไร” อาสวนสับสน
“ข้าหมายถึง…” อาหว่านเหลือบมองที่ท้องของเขา
อาสวนเข้าใจจึงพูดออกไปด้วยความไม่พอใจ “มองท้องข้าทำไมกัน ข้าไม่สามารถให้กำเนิดทารกได้หรอก”
“ไม่ต้องลงรายละเอียดพวกนั้น!” อาหว่านพูด “เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ข้าไม่เคยเห็นนางดื่มยาเลยนะ!”
“นางดื่มยาจำเป็นต้องให้เจ้ารู้ด้วยหรือ”
“ขอร้องเถอะ ที่เกาถางข้าดูแลทุกเรื่องทุกอย่างในป้อม หากนางต้องการดื่มยาจะปิดบังข้าได้หรือ”
อาสวนคิดตามก็เห็นว่าจริงอย่างที่นางพูด “หรือนางอาจใช้วิธีอื่น” เขาพูดอย่างคลุมเครือ “หากไม่ต้องการเด็กก็ไม่ได้มีแค่ดื่มยาวิธีเดียวนี่”
อาหว่านส่ายหน้า “ข้าหาข้อมูลถามคนก็แล้ว แต่วิธีการเหล่านั้นไม่ปลอดภัย ยิ่งกว่านั้นอายุอย่างท่านอ๋องตามหลักเหตุผลแล้วยากที่จะควบคุมได้ เจ้ากับท่านอ๋องอายุพอๆกัน เจ้าลองนึกดูสิ”
อาสวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เหตุใดข้าต้องมาคุยเรื่องนี้กับเจ้าด้วยไม่ใช่แค่เรื่องในห้องของท่านอ๋องแล้วยังถามข้า…เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”
อาหว่านพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากำลังพูดในมุมมองของแพทย์มีอะไรต้องอายด้วย”
“…”
“อย่างไรก็ตามมันก็แปลกเกินไปข้าตรวจชีพจรนางก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าไม่สังเกตเห็น อืม…คงต้องหาโอกาสหน้า…”
อาหว่านตกอยู่ในสถานการณ์พูดกับตัวเอง
อาสวนเหงื่อแตก “เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้กัน ตอนนี้พวกเขายังไม่แต่งงานกัน หากเกิดเรื่องนั้นจริงจะไม่แย่เอาหรือ ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของแม่นางหมิงจะเสียหายชื่อเสียงของท่านอ๋องจะมัวหมอง”
“ไอหยา ข้านึกออกแล้ว!”
ตอนแรกอาหว่านหวังเพียงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อไม่ให้คุณชายอยู่แบบไร้เกียรติเช่นนี้ไปตลอด แต่เมื่อนางยิ่งสำรวจก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
ไม่มีเหตุผล! ชายหญิงที่อยู่ในวัยอันสมควรที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา นานเพียงนี้เหตุใดถึงไม่มีบุตรกัน เรื่องคุมกำเนิดไม่มีอะไรที่แน่นอนเพียงนั้นนี่มันช่างท้าทายทักษะการแพทย์ของนางยิ่ง!
ไม่ได้! นางต้องคิดหาทางทำให้มันชัดเจน
เมื่อหนิงซิวมาถึงฟ้าก็มืดแล้ว หลังจากที่เขาทานอาหารเสร็จก็มานั่งรอในห้องสักพักก่อนจะเห็นหยางชูที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามา
“นี่คือเรื่องที่เจ้าบอกว่าเร่งด่วนงั้นหรือ” หนิงซิวหรี่ตามองเขา
“ไม่คิดว่าศิษย์พี่จะมาเร็วเช่นนี้!” หยางชูหน้าหนามากเขาไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
“เหอะๆ” หนิงซิวไม่อยากสนใจเขาตอนนี้เขาไม่มีธุระจึงนั่งเล่นกู่ฉินบนเขาหลังเสวียนตูกวันทุกวัน หากช้าจะช้าได้แค่ไหนกันเชียว ขอให้มีเรื่องสำคัญจริงๆ เถอะ ไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์โปรดให้อภัยเขาด้วย
“อาจารย์หนิง” หมิงเวยผลักประตูเข้าไป
ภายในห้องหยางชูไม่เพียงเข้าไปรับนางเท่านั้น แต่ยังถามไม่หยุดว่า “ข้าบอกให้ท่านนอนต่ออีกหน่อยไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงรีบตื่นขึ้นมาล่ะ หิวหรือไม่ อาหว่านนำอาหารมาที่นี่ที!”
จากนั้นเขาก็พูดกับหนิงซิวว่า “ล้วนเป็นคนกันเอง ทานไปคุยไปศิษย์พี่คงไม่ถือสาใช่หรือไม่”
หนิงซิวกระตุกมุมปากหากตอนนี้เขาบอกว่าถือสาจะยังทันหรือไม่ อาหว่านนำอาหารเข้ามาด้วยตนเอง
หยางชูสั่งนาง “พวกเจ้าคอยเฝ้าเอาไว้เรื่องในวันนี้สำคัญมาก”
อาหว่านรับคำสายตาจับจ้องไปที่ท้องของหมิงเวยรอบหนึ่งแล้วเดินออกไปโชคดีที่หมิงเวยเป็นคนจิตใจดีงามจึงเล่าเรื่องให้ฟังก่อน
หนิงซิวเลิกคิ้ว “คนผู้นั้นได้รับสืบทอดเหมือนกับท่านหรือ”
“หากให้พูดกันตามตรงต้องบอกว่าเหมือนพวกเรา” หมิงเวยชี้นิ้ว “ข้า ท่าน แล้วก็เขา”
เมื่อเห็นว่านางชี้นิ้วไปทั้งสามคน หนิงซิวก็เงียบ เพราะรู้จักกันมานานเขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับสืบทอดมานั้นคล้ายคลึงกับของหมิงเวยมาก แต่เส้นทางที่หยางชูเดินต่างไปจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิงเหตุใดถึงเหมือนคนผู้นั้นได้
หยางชูพูดแทรก “วิธีการใช้ร่มของเขาคล้ายกับของข้า ท่านก็รู้ว่ากระบี่ร่มนั่นคือสิ่งที่อาจารย์สอนข้า ในใต้หล้านี้ผู้ที่ใช้กระบี่มีจำนวนมาก แต่ผู้ที่ใช้ร่มมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยากที่จะเชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
หนิงซิวพยักหน้าเบาๆ “ก็จริง”
ใช้ร่มเป็นอาวุธนั้นหายากมากคนสองคนที่ใช้ร่มเหมือนกัน แต่เป้าหมายไม่เหมือนกัน คำว่าบังเอิญก็ไม่เพียงพอจะอธิบาย
หมิงเวยทานอาหารเสร็จก็ผลักชามออกไปแล้วพูดว่า “อาจารย์หนิง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเก็บไว้ในใจมานานเพียงแต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่ได้พูดออกไป ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าคิดว่าควรบอกกับท่านก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ดูจากท่าทางเคร่งขรึมของนางดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญมาก หนิงซิวจึงต้องให้ความสนใจ “เรื่องอะไรหรือ”
…………….