คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 496 แผลงฤทธิ์
“ข้าสงสัยว่าพวกเรามาจากสำนักเดียวกันเจ้าค่ะ”
หนิงซิวตกตะลึง เขาทวนประโยคนี้ในใจอยู่หลายรอบก่อนจะถามว่า “ข้าไม่เข้าใจ สำนักนี้มีผู้สืบทอดได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ข้าดูเคล็ดวิชาที่ท่านฝึกนั้นลึกซึ้งกว่าข้า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช่ผู้สืบทอดโดยตรง”
“ข้าเป็นผู้สืบทอดเจ้าค่ะ” หมิงเวยพยักหน้า
หนิงซิวครุ่นคิดแล้วถามเสียงหวั่น “หรือว่าข้าไม่ใช่..”
ในแง่ของเคล็ดวิชาเขาด้อยกว่าหมิงเวยจริงๆ หากเลือกใครสักคนในหมู่พวกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นตนที่ไม่ใช่…เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองสามรุ่นก่อนหน้านี้ สายตรงที่แท้จริงเป็นอีกสายหนึ่ง อาจารย์ท่านใดไม่พอใจก็จะบอกว่าตนเป็นสายตรง
สมองหนิงซิวประมวลผลอย่างหนักหมิงเวยก็พูดขึ้นมาว่า “อาจารย์พูดอะไรน่ะเจ้าคะ!”
นางรู้สึกขบขันปกติหนิงซิวจะดูเป็นคนจริงจังและเย็นชาที่แท้ก็เชื่อมโยงความคิดได้เช่นนั้น
“ท่านเป็นสายตรง ข้าเองก็เป็นสายตรงเจ้าค่ะ” นางพูด “เพราะว่าข้าเป็นสายตรงที่สืบทอดต่อมาจากท่าน”
“…”
หนิงซิวรู้สึกว่าสมองของตนมีไม่เพียงพอ อะไรคือสืบทอดต่อมาจากเขา ตอนนี้เขายังไม่ได้รับลูกศิษย์แล้วจะส่งต่อให้ศิษย์คนใดได้ อีกอย่างวิธีการของหมิงเวยเขามองแล้วยังรู้สึกเหลือเชื่อแล้วจะสืบทอดมาจากเขาได้อย่างไร
“ไม่ใช่ว่าอาจารย์สงสัยในที่มาของข้าหรือเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าเคยเปรียบเทียบกับสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นแล้วยังผู้เร้นกายอีก แต่ไม่ว่าท่านจะหาอย่างไรก็รู้สึกว่าสำนักพวกนั้นไม่เหมาะกับข้า แต่กลับสอดคล้องกับสำนักของท่านทุกอย่าง เหตุผลนั้นง่ายมากข้าเป็นผู้สืบทอดจากคนรุ่นหลังของท่านเจ้าค่ะ”
หนิงซิวพึมพำ “คนรุ่นหลังงั้นหรือ”
…………
ตกกลางคืนเสวียนเฟยเข้าไปในเจดีย์กงเต๋อที่อยู่ด้านหลังหอเวิ่นเต้าเพียงลำพัง แสงเทียนจากตะเกียงในมือส่องแสงจางๆ ทำให้สามารถมองเห็นส่วนอื่นของร่างกายได้ บรรยากาศโดยรอบเงียบเกินไปจนได้ยินเสียงเหยียบบันไดชัดเจนเป็นพิเศษ
เขาขึ้นไปชั้นบนสุดและวางเชิงเทียนให้มั่น แต่เห็นว่าบริเวณโดยรอบมีโต๊ะวางอยู่หลายตัว มีป้ายวิญญาณมากมายวางบนนั้น นั่นคือเหล่าเจ้าสำนักในอดีตของเสวียนตูกวัน
พูดถึงเรื่องนี้เสวียนตูกวันได้ก่อตั้งมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งปลีกตัวออกจากอำนาจการเมืองในราชวงศ์นี้ เสวียนเฟยจุดธูปกราบไหว้เมื่อกราบไหว้เสร็จก็ปักธูปลงกระถางธูป จากนั้นคลำหาใต้โต๊ะครู่หนึ่งจนพบปุ่มที่ซ่อนอยู่ พอผลักเปิดช่องลับออกก็หยิบป้ายพกปลาคู่ออกมา
ในตอนที่ท่านอาจารย์เสียชีวิตเขาไม่อยู่ในเสวียนตูกวัน แต่ก่อนหน้านั้นท่านอาจารย์เคยพาเขามาไหว้เหล่าอดีตเจ้าสำนัก และบอกที่ซ่อนลับนี้แก่เขา
ราชครูซูสิงมรณภาพ เสวียนเฟยกลับเสวียนตูกวัน และพบว่าในช่องลับมีป้ายพกปลาคู่มากกว่าหนึ่งอัน เขารู้ว่านี่ต้องเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้เขา
แปลก ของสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ เสวียนเฟยพลิกป้ายพกปลาคู่ไปมา แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรแปลกไป เสียงประตูถูกผลักเปิดมาจากด้านล่างตามด้วยเสียงของจวินโม่หลี
“ศิษย์พี่”
เสวียนเฟยวางป้ายพกปลาคู่กลับไปแล้วตอบรับ “อยู่นี่”
เสียงขึ้นบันไดทำให้เสวียนเฟยต้องพูดว่า “เดินให้มั่นคงหน่อยอย่ารบกวนเหล่าผู้อาวุโส”
“อ้อ” จวินโม่หลีลดเสียงฝีเท้าลง
ไม่นานเขาก็ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดแล้วพูดว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีหากพูดที่นี่คงไม่มีผู้ใดได้ยินแน่” เสวียนเฟยตอบรับเบาๆ
เจดีย์กงเต๋อที่สูงชัน ใช้แผ่นไม้ที่ทำให้เกิดเสียงเหยียบดังเป็นพิเศษ เมื่อมีคนเข้ามาจะได้ยินเสียงทันที
“นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ข้าพบในบัญชี คราวนี้อวี้หยางเถียงไม่ออกแน่” จวินโม่หลีหยิบสมุดบัญชีออกมาอย่างกระตือรือร้น
เสวียนเฟยรับมาดูแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ทำได้ดี”
จวินโม่หลีที่ได้รับคำชมก็ดีใจ “ศิษย์พี่สั่งมา ข้าต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
เสวียนเฟยเคาะหน้าปกสมุดแล้วพูดว่า “แค่นี้ยังไม่เพียงพอ บัญชีนี้สามารถพิสูจน์ได้แค่ว่าเขามีปัญหาทางศีลธรรม หรือหากใช้โอกาสนี้จัดการเขาคงไม่สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสได้หรอก”
ในเสวียนเหมินนั้นการที่จะกำจัดคนได้อย่างสมบูรณ์นั้นมีสองวิธี หนึ่งคือต้องมีการพิสูจน์ว่าเขาละเมิดคำตักเตือนของอาจารย์หรือศีลธรรมในใต้หล้า ทำความผิดครั้งใหญ่ สองคือสูญเสียการฝึกฝนและกลายเป็นคนไร้ค่า
นอกจากสองวิธีนี้แล้วอย่างอื่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
สิ่งที่เสวียนเฟยต้องการไม่ใช่แค่นี้เขาต้องการให้อวี้หยางไม่สามารถกลับมาได้อีกในอนาคต มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้เสวียนตูกวันอยู่ในมือของเขาเพียงผู้เดียว
แต่สองเรื่องนี้ไม่ง่ายเลยทั้งสองศิษย์พี่ศิษย์น้องปรึกษากันอยู่นานก็ยังหาวิธีที่วางใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าดึกมากขึ้นแล้วเสวียนเฟยพูด “เจ้าไปพักก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน”
จวินโม่หลีตอบรับแล้วถามเขา “แล้วศิษย์พี่ล่ะ”
“ข้าอยู่ต่ออีกสักเดี๋ยว”
“ได้ อย่าดึกเกินไปล่ะ ที่นี่…” เขามองไปรอบๆ แล้วลูบขนอ่อนบนแขน “น่ากลัวเกินไป”
เสวียนเฟยหัวเราะ “ล้วนเป็นผู้อาวุโสของสำนักเราน่ากลัวตรงไหนกัน อีกอย่างหากมีภูติผีพวกเราก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว” จวินโม่หลีคิดตามก็เห็นว่าจริงเขาบอกลาแล้วเดินลงบันไดไป เสวียนเฟยยืนอยู่บนข้างบันไดมองเขาเดินออกไปจนสุดทางจึงออกจากเจดีย์
เมื่อเขากลับมาที่โต๊ะบูชาพร้อมเชิงเทียนแล้วคลำหาที่ซ่อนอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงัก
เมื่อเปิดช่องลับก็ไม่พบป้ายพกปลาคู่แล้ว เสวียนเฟยเหงื่อท่วมตัวเขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองไปรอบๆ นอกจากป้ายวิญญาณที่วางเรียงกันก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว
ไม่ใช่แค่คน แค่สิ่งของก็ไม่มี
เขามองข้ามไปหรือ ไม่ เป็นไปไม่ได้ เขาเข้าสำนักมาได้สามเดือนก็สามารถเปิดดวงตาแห่งสวรรค์ได้แล้วจะมองไม่เห็นภูติผีปีศาจได้อย่างไร แต่หากไม่ใช่สิ่งนั้นแล้วป้ายพกปลาคู่จะหายไปได้อย่างไร
เมื่อครู่เขาอยู่ที่นี่ตลอดคุยกับจวินโม่หลีกลางห้อง มีเพียงตอนที่ยืนมองศิษย์น้องจากไปอยู่ข้างบันไดถึงได้เบนสายตาไปทางอื่น นำสิ่งของออกไปในช่วงเวลาอันสั้นนี้ได้ด้วยหรือ
เสวียนเฟยหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ แสงเทียนมืดสลัว เขาถือมันไว้ในมือแล้วกวาดตามอง ภายในเจดีย์ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่น้อย แต่แล้วจู่ๆ เสวียนเฟยก็หมุนกาย ยันต์ในแขนเสื้อส่งสัญญาณกระตุ้น
มีร่างหนึ่งในความมืดเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับภูติผีมีบางอย่างถูกขว้างออกมา และเทียนก็ดับลง เสวียนเฟยโยนเชิงเทียนทิ้งไปโดยไม่ลังเล ยันต์ในแขนเสื้อถูกปล่อยออกมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีผลอะไรราวกับวัวโคลนลุยทะเล[1]
ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขาเสวียนเฟยเอื้อมมือไปที่เอว และดึงกระบี่อ่อนออกมา เขาไม่ได้ใช้กระบี่อ่อนมานานแล้วเพราะมันไม่คุ้มที่จะใช้ แต่คนผู้นั้นกลับทำให้เขาต้องมาถึงจุดนี้
กระบี่อ่อนตวัดเข้าไปในความมืดราวกับงูพิษ ในที่สุดคราวนี้ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง พื้นผิวสัมผัสก็อ่อนนุ่มเล็กน้อย และมีความเบาอย่างประหลาด
เสวียนเฟยสะบัดกระบี่อ่อนเขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไร้ประโยชน์
ในที่สุดสิ่งนั้นก็เข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าเขา แปลกมาก อะไรจะใหญ่ขนาดนั้น
เสวียนเฟยจมอยู่ในความคิดจดจ่อกับการทดสอบ หลังจากลองไปหลายกระบวนท่าก็ได้ยินเสียง ‘สวบ’ ในความมืดซึ่งดูเหมือนจะเป็นเสียงสั่นของผ้าตามด้วยเสียงบางอย่างแทงเข้ามา
เสวียนเฟยรวบรวมกำลังภายใน ตวัดกระบี่ออกไปทันที คมกระบี่วาดผ่านออกไป
เอ๋ มีผ้าติดอยู่กับวัตถุแข็งที่มีลักษณะยาว เหตุใดรู้สึกเหมือนจะเป็นร่ม
แล้วกระบวนท่านี้…
ชั่วพริบตากระบวนท่ามากมายนับสิบโจมตีเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ฝ่ายตรงข้ามสะบัดอาวุธบังคับให้เขาถอยไป เสวียนเฟยคาดเดาว่าฝั่งนั้นคงเป็นป้ายวิญญาณของผู้อาวุโสจึงไม่กล้าขยับจึงถามเสียงเข้ม “ท่านเป็นผู้ใด”
…………….
[1] วัวโคลนลุยทะเล : หายเข้ากลีบเมฆไป