คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 500 ป่วย
เมื่อสิ้นเดือนหกฮ่องเต้ทรงพระประชวร อาการปวดพระเศียรของพระองค์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ มักจะปวดเป็นบางครั้งจนไม่สามารถว่าราชกิจได้หลายวัน
ในตอนนี้เผยกุ้ยเฟยอยู่เคียงข้างเขาดูแลเขาทั้งวันทั้งคืน สาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางถูกส่งเข้ามา ฮ่องเต้บอกกล่าวเป็นคำพูดโดยมีเผยกุ้ยเฟยเป็นผู้เขียนคำอธิบายลงไป
หากไม่ยอมฟังก็จะให้ว่านต้าเป่าส่งไปยังส่วนหน้าให้ราชสำนักจัดการมันด้วยตัวเอง ไท่จื่อและซิ่นอ๋องเดินทางมาเยี่ยมถามไถ่สุขภาพทุกวัน อีกทั้งยังชิมยาต้ม เป็นการแสดงความกตัญญูอย่างสูงสุด
ยามบ่าย แสงแดดข้างนอกร้อนแม้แต่ลมก็ร้อนด้วย ฮ่องเต้ทรงตื่นจากบรรทมยื่นมือไขว่คว้าข้างเตียง “อาหรง!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเผยกุ้ยเฟยก็รีบเข้าไปในห้อง “ฝ่าบาท!”
เมื่อเห็นนางเข้ามาฮ่องเต้ดูโล่งใจ “เจ้าอยู่ เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว…”
เผยกุ้ยเฟยช่วยพยุงเขาขึ้น และลูบแผ่นหลัง “เหงื่อชุ่มเลยเพคะ เปลี่ยนฉลองพระองค์ก่อนเถอะเพคะ”
นางเรียกนางในเข้ามา และเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้ด้วยตนเอง ป้อนน้ำ และให้เขานอนลงอีกครั้ง
“ฝ่าบาททรงพระสุบินหรือเพคะ” เผยกุ้ยเฟยเอนกายพิงหัวเตียงจากนั้นก็พัดให้เขาแก้เขิน
อันที่จริงในห้องนี้ไม่ร้อนมีอ่างน้ำแข็งตรงมุมห้องให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย
แต่ฮ่องเต้รู้สึกว่าเช่นนี้สบายมาก อาจเป็นเพราะลมที่ทำให้เขารู้สึกสบายตัวหรือเพราะคนพัดเป็นเผยกุ้ยเฟยก็ไม่อาจทราบได้
เขาจับมือเผยกุ้ยเฟย และพูดว่า “ใช่ เจิ้นฝัน ในความฝันเจิ้นเป็นเพียงองค์ชายเล็กๆ ผู้หนึ่งที่วิ่งตามหลังพี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกว่าเขาต้องไปทำงาน แต่ไม่สามารถพาข้าไปได้จึงให้ข้าเล่นกับอาจิง
ในตอนนั้นอาจิงยังเล็กมากจึงทำได้แต่จับแขนเสื้อ และเรียกข้าว่าพี่ชาย แม่นมแก้ไข้ด้วยรอยยิ้มบอกให้เรียกข้าว่าท่านอา…ชั่วพริบตาอาจิงก็เติบโต และอภิเษกสมรส ข้าเห็นเขาสวมชุดอภิเษกสมรส…”
เสียงของฮ่องเต้ราวกับคนละเมอ ตอนแรกแทนตัวเองว่าเจิ้นต่อมาก็แทนตัวเองว่าข้า ราวกับว่าเขาตกอยู่ในความฝัน
มือของเผยกุ้ยเฟยสั่นระริก อาจิงที่ฮ่องเต้พูดถึงคือหวงฉางซุนเจียงจิง บุตรชายคนโตของซือฮว๋ายไท่จื่อ สามีของ…นาง
เมื่อหวงฉางซุนอภิเษกสมรสผู้ที่อภิเษกด้วยก็คือนาง แววตาของฮ่องเต้เหมือนได้สติเขายิ้มอ่อนแรงให้นาง “ความฝันนี้เหมือนจริงเกินไปจนเจิ้นเกือบจะคิดว่ามันเป็นความจริง เจิ้นไม่ได้ขึ้นครองราชย์เจ้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจิ้น…”
“ฝ่าบาทคงบรรทมมากไปเลยติดอยู่ในห้วงความฝันเพคะ” เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงแผ่วเบา “หมอหลวงบอกว่าเสวยยาอีกสองวันอาการจะดีขึ้นเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะดีเองเพคะ”
“ไม่ อาหรง” ฮ่องเต้เอนกายพิงหัวเตียงด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง “เจิ้นรู้สึกว่าตนเองทำไม่ได้ยิ่งฝันถึงพี่ใหญ่ และผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ…”
“ฝ่าบาท!” เผยกุ้ยเฟยห้ามเขา “ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาจากอาการป่วย รอพระองค์ทรงหายประชวรแล้วสมองก็จะปลอดโปร่งขึ้นหลายเท่า ให้หม่อมฉันอ่านหนังสือให้ฟังดีหรือไม่เพคะ เผื่อช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าได้”
ฮ่องเต้ไม่ต้องการขัดความประสงค์ของนางจึงตอบว่า “ได้”
กุ้ยเฟยสั่งให้นางในหยิบหนังสือที่ออกใหม่จากร้านหนังสือมาจากนั้นก็เลือกเรื่องที่ดีๆ แล้วเล่าให้เขาฟังช้าๆ ฮ่องเต้ฟังเสียงอ่อนโยนของเผยกุ้ยเฟยนึกถึงนามของเด็กหญิงในหนังสือ ความคิดก็ล่องลอยออกไป
หากเขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจะทำอย่างไร ไท่จื่อและซิ่นอ๋อง…หากตนไม่อยู่ กุ้ยเฟยคงลำบากพามาอยู่ข้างกายคงอุ่นใจกว่า…
แล้วยังเด็กคนนั้น…ทุกครั้งที่เห็นเขาก็มักจะนึกถึงปู่ และบิดาของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจแม้แต่ในความฝันหากปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่…แล้วฮ่องเต้ก็ผลอยหลับไป
เผยกุ้ยเฟยปิดหนังสือเบาๆ จากนั้นลุกขึ้นเดินไปที่กระถางธูป ดับธูปหอมระงับประสาท กำจัดขี้เถ้าเครื่องหอมอย่างระมัดระวังและทำความสะอาด
…………
ในสถานที่ราชการของราชสำนัก กัวสวี่เปิดอกเสื้อออกเล็กน้อย เขาอ่านเอกสารพลางโบกพัดด้วยร่างกายที่อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ทานแตงโมๆ” มีเสียงดังมาจากข้างนอกเป็นเจ้าหน้าที่ที่ให้ออกไปซื้อแตงโมกลับมาแล้ว เจ้าหน้าที่ห้องข้างนอกวิ่งไปหยิบแตงโมอย่างรวดเร็ว
“ท่านอาหก แตงโมของท่าน” หลานชายขยิบตา และนำแตงโมมาให้เขา
เนื้อฉ่ำสีแดง สัมผัสเย็นนั้นราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ กัวสวี่กัดหนึ่งคำ น้ำผลไม้สีแดงหยดลงที่มือของเขา สัมผัสเย็นๆ ที่ไหลลงคอช่วยดับความร้อนอย่างสมบูรณ์
สองอาหลานนั่งทานแตงโมอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาพร้อมกับกองเอกสารกองใหญ่ และวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
“ผู้อาวุโส กองนี้ของท่านขอรับ”
กัวสวี่พยักหน้าแล้วโบกมือให้เขาก้าวถอยหลัง จากนั้นเช็ดน้ำผลไม้บนมือและหยิบเอกสารขึ้นมาแล้วพลิกดู
“ส่งมาจากในวังฝ่าบาทไม่อนุมัติ” กัวสวี่โยนสาสน์กลับไปบนโต๊ะ
ผู้เป็นหลานถามว่า “ท่านอาหก ฝ่าบาททรงมีพระอาการไม่ดีหรือ”
ทันทีที่เขาพูดจบพัดฝ่ามือของกัวสวี่ก็เคาะที่หน้าผากของเขาหนึ่งที “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่เจ้าสามารถพูดได้หรือ ระวังภัยพิบัติออกจากทางปาก”
“อ้อ…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งกัวสวี่ก็พูดว่า “พระวรกายของฝ่าบาทแย่ลงเรื่อยๆ! ข้ากลับมาได้สามเดือนพระองค์ทรงล้มป่วยไปสองครั้งแล้ว”
ผู้เป็นหลานพยักหน้า “ครั้งนี้เป็นสี่ห้าวันเลย”
“นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี!” กัวสวี่เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วจ้องไปที่ด้านบน “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย”
หลานชายไม่เข้าใจ “วุ่นวายอย่างไร ตอนนี้ไม่ใช่ว่าสงบอยู่หรือขอรับ”
กัวสวี่ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้เขาฟังจึงใช้พัดตบเขาอีกรอบ “กินแตงโมของเจ้าไปซะ!”
“ขอรับ” หลานชายทานแตงโมที่เหลือแล้วออกไปทานข้างนอก
กัวสวี่เขย่าพัดในมือพลางใช้ความคิดฮ่องเต้เป็นเช่นนี้แน่นอนว่าไท่จื่อและซิ่นอ๋องนั่นไม่ติดแน่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่จะเปลี่ยน!
หากไม่กำจัดไท่จื่อและซิ่นอ๋องคนผู้นั้นก็จะไม่มีโอกาส…
“ท่านอาหกๆ” หลานชายวิ่งเข้ามาจากข้างนอกอีกครั้ง
“เอะอะอะไรกัน” กัวสวี่ที่ถูกขัดจังหวะไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หลานชายพูดว่า “มีข่าวจากในวังฝ่าบาททรงพระสุบินถึงฮ่องเต้องค์ก่อน จำเป็นต้องจัดพิธีกรรม”
กัวสวี่ตกใจ “ตอนนี้ไม่มีเทศกาลจะให้จัดงานอะไร”
อย่าคิดว่าฮ่องเต้จะทำตามอำเภอใจได้ตลอด ทั้งปีนี้พระองค์มีโอกาสได้ออกไปข้างนอกเพียงไม่กี่ครั้ง หากออกมากกว่านี้อาจถูกกล่าวหาได้
การเสด็จออกไปข้างนอกจำเป็นต้องใช้เงิน! หากใช้เงินต้องใช้คลังหลวง! และคลังหลวงต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนัก!
เช่นเดียวกับการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษล้วนมีกฎเกณฑ์ มีหรือที่การจัดงานประกอบพิธีกรรมจะไม่มี นี่กำลังมองหาโอกาสที่จะออกไปข้างนอกหรือไม่
กัวสวี่โยนพัดทิ้งเขากระชับเสื้อผ้าคิดจะออกไปพบโส่วเซี่ยงหลู่เฉียน
หลานชายที่พอฉลาดหน่อยพูดขึ้นว่า “ท่านอาหก ผู้อาวุโสหลู่เซียงเข้าวังแล้วขอรับ”
กัวสวี่ตกตะลึงอีกครั้งเขาลูบคาง “เหตุใดข้าถึงคิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้องกัน”
หากฮ่องเต้ต้องการจัดพิธีกรรมก็ควรผ่านราชสำนักก่อนแล้วจึงทำการตอบกลับถึงจะถูก เหตุใดถึงไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเข้าวังก่อน
“แล้วผู้อาวุโสท่านอื่นล่ะ”
“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปสอบถาม” หลานชายรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็วิ่งกลับมาแล้วพูดเสียงหอบ “ท่านอาหก! ที่หน้าห้องผู้อาวุโสหลู่เซียง หลานพบกับเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆ และพวกเขาทั้งหมดกำลังสอบถามเรื่องผู้อาวุโสขอรับ” หมายความว่าผู้อาวุโสท่านอื่นก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ผู้อาวุโสหลู่เซียงถึงได้เข้าวังสินะ
กัวสวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตนไม่ได้ถูกกีดกันก็ดีแล้ว
เขาจิบชาแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับหลู่เซียง! ”
เขาเข้าวังโดยไม่บอกพวกเขาเป็นไปได้สูงที่เขาจะรู้เรื่องราวภายในจึงคิดเข้าไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท กัวสวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจให้หลานชายเชิญคนของหลู่เซียงมาดื่มชา
…………