คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 512 ลายมือ
“คุณหนูเจ็ดจะไปที่ใดหรือ” พอหมิงเวยลุกขึ้นโป๋วหลิงโหวฮูหยินก็ถาม
หมิงเวยโค้งคำนับด้วยความเขินอายเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ดื่มน้ำผึ้งมากไปหน่อยจึงอยากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะเจ้าค่ะเมื่อครู่เผยกุ้ยเฟยอยู่จึงไม่กล้าเลย…”
โป๋วหลิงโหวฮูหยินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ระวังตัวด้วยอย่าหลงทางเข้าล่ะ” พูดแล้วก็เรียกให้บ่าวของตนไปกับนางด้วย
โป๋วหลิงโหวฮูหยินไม่ได้ประมาท แต่หากหมิงเวยคิดจะหลบหนีมีหรือแค่สาวใช้คนเดียวจะจับตาดูนางไว้ได้ เมื่อเข้าไปในเรือนก็ส่งสัญญาณให้ตัวฝู และปีนออกจากหน้าต่างอย่างเงียบๆ สาวใช้ที่มากับพวกนางและเหล่านางในที่รับใช้อยู่ที่นี่จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติเลย…
นางในที่คอยรับใช้อย่างใกล้ชิดตามเผยกุ้ยเฟยกลับมา นางช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางบ่นว่า “นางในผู้นั้นเรียนกฎเกณฑ์มาอย่างไรถึงได้ประมาทเลินเล่อต่อหน้าท่านเช่นนี้โชคดีที่เหนียงเหนียงอารมณ์ดีไม่เช่นนั้นถูกลงโทษไปแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยกระชับเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยไม่ต้องสนใจ พอดีเลย เปิ่นกงรู้สึกเหนื่อยพักผ่อนสักหน่อยเจ้าค่อยมาเรียกแล้วกัน”
“เพคะ” นางในหยุดพูดอย่างรู้ความแล้วถอยออกไป
เมื่อทุกคนออกไปเผยกุ้ยเฟยสะบัดแขนเสื้อออกเผยให้เห็นกระดาษแผ่นเล็กที่นางถืออยู่ นางคลี่มันออกช้าๆ สายตาจับจ้องไปที่กระดาษ บนกระดาษมีเพียงคำสี่คำเท่านั้น
เจอกันที่ศาลาว่างเยวี่ย มือของเผยกุ้ยเฟยสั่นจนแทบจับกระดาษไว้ไม่อยู่
ศาลาว่างเยวี่ยเป็นศาลาหลังเล็กที่อยู่หลังสวนของตำหนักไท่หยวนซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้อยู่ห่างไกลและเงียบสงบมาก นัดหมายที่นั่นเป็นอันรู้กันว่าต้องการหลบสายตาผู้คน
หากเป็นสถานการณ์ปกติเมื่อเผยกุ้ยเฟยเห็นสิ่งนี้นางก็จะเพิกเฉยต่อมัน
นางรู้ดีว่าตนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ และมีอำนาจสูงสุดในตำหนักทั้งหก และในสายตาของเหล่าสนมในวังหลังนางจึงเป็นเป้าหมายชั้นดี ตระกูลเผยก็ไม่แยแสดังนั้นสิ่งเดียวที่นางสามารถครอบครองได้คือความโปรดปรานจากฮ่องเต้
ดังนั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะยั่วยุนางอย่างไร ตราบใดที่นางไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น นางก็จะไม่สูญเสียความไว้วางใจจากฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถเพิกเฉยต่อกระดาษแผ่นนี้ได้
เพราะนางจำลายมือนั้นได้ มันปรากฏขึ้นในความฝันของนางนับครั้งไม่ถ้วนและไม่สามารถหาพบได้อีกแล้ว
หย่งซีอ๋อง
ผู้ที่จากไปมากกว่ายี่สิบปีลายมือของเขามาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร
แล้วยังส่งมอบถึงมือนางผ่านนางในผู้หนึ่งอีก เผยกุ้ยเฟยพยายามควบคุมการหายใจของตนเองให้มั่นคง นางรู้ว่ามันน่าสงสัย
หย่งซีอ๋องเสียชีวิตไปมากกว่ายี่สิบปีแล้วเห็นได้ชัดว่ามีคนใช้ลายมือของเขาล่อตนออกไป แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นประสงค์ดีหรือร้าย ทางที่ดีที่สุดคืออยู่เงียบๆ และทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นางก็อดคิดไม่ได้ว่าหากคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหย่งซีอ๋องล่ะตนจะพลาดข่าวสำคัญหรือไม่
นางเริ่มสับสน แล้วถ้าหากเขายังไม่ตายล่ะ
สติปัญญาบอกนางว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะนางประสบกับเหตุการณ์สังหารหมู่ด้วยตนเองมีเพียงสี่คนที่เหลือรอดในท้ายที่สุด นายท่านหยางคนรอง ฟู่จิน นางแล้วก็หยางชูที่เพิ่งเกิด แต่นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้อาจมีบางอย่างผิดปกติ นางไม่ได้เก็บศพด้วยตนเอง เหตุการณ์น่าเศร้าในตอนนั้นอาจมีคนจำศพผิดไปก็ได้
เผยกุ้ยเฟยกระสับกระส่าย นางลุกขึ้นเดินไปได้สองก้าวก็กลับมานั่ง
จะหุนหันพลันแล่นไม่ได้นางบอกตนเอง สองปีมานี้ฮ่องเต้ดูหม่นหมองมากขึ้น หากนางทำอะไรผิดพลาดไปความอดทนตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาจะสูญเปล่า แม้เขาจะมีชีวิตอยู่จริงๆ ก็ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะพบกันในตอนนี้
แต่…ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน
ไม่ ในเมื่อรู้ข่าวแล้วนางจะทนต่อไปได้อย่างไรแม้จะเป็นหลุมพรางก็ต้องไปดูให้เห็นว่ามันคืออะไร! เผยกุ้ยเฟยผลักหน้าต่างออก และปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ทรงกลมอย่างระมัดระวัง เมื่อเงาร่างของนางออกจากตำหนักหลังไท่จื่อก็ได้รับข่าวทันที
“นางไปจริงๆ หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อยิ้มด้วยความพอใจ “เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!”
เผยกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคงหากนางไม่ใช่หย่งซีหวางเฟย เมื่อเห็นกระดาษแผ่นนั้นคงจะสับสนไม่เข้าใจแล้วจะตามออกไปง่ายๆ ได้อย่างไรกันล่ะ
“ในเมื่อไท่จื่อรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจึงมีความคิดที่ดีเช่นนี้ ลายมือของหย่งซีอ๋องหายากมาก โชคดีที่ตำหนักตงกงเหลือของเก่าไว้อยู่แค่ให้คนลอกเลียนแบบลายมือก็ไม่ปรากฏความจริงให้เห็นแล้ว”
คำยกยอขององครักษ์ทำให้ไท่จื่อภาคภูมิใจยิ่งขึ้นไปอีก เขาหันกลับมากล่าวว่า “ไปกันเถอะ! ในเมื่อกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงติดกับแล้วพวกเราก็ดำเนินการขั้นต่อไปกัน”
…………
ซิ่นอ๋องที่กำลังตามหลังพวกเขาอยู่ในขณะนี้ และเมื่อเห็นไท่จื่อหันกลับมาก็ไม่สามารถเข้าใจเจตนาของเขาได้ครู่หนึ่ง
ในขณะที่กำลังคิดว่าควรซ่อนตัวดีหรือไม่ แต่ไท่จื่อที่เร็วกว่าก็เห็นชายเสื้อของเขาเสียแล้ว
“น้องรองหรือ”
ซิ่นอ๋องเดินออกมาจากหัวมุมด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นี่นี่เอง น้องดื่มหนักเกินไปจึงรู้สึกเบื่อเลยออกมาเดินเล่นพี่ใหญ่ก็เหมือนกันหรือ”
เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการกล่าวเหตุผลขึ้นมาก่อนให้ไท่จื่อตอบกลับยาก
ไท่จื่อเงียบไปครู่หนึ่ง และก่นด่าซิ่นอ๋องในใจเสียจนเละเทะ สีหน้าออกอาการเมามายเล็กน้อยตั้งใจเดินเซแล้วพูดว่า “แล้วอย่างไร เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคออ่อน” เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเยาะ “แล้วน้องรองล่ะ เดินเล่นจริงหรือไม่ใช่ว่าตามข้ามาหรืออย่างไร”
น้ำเสียงของซิ่นอ๋องอ่อนโยนขึ้น “จะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”
“หึๆ ที่เจ้าพูดตอนนี้ข้าไม่กล้าเชื่อจริงๆ” ไท่จื่อเหล่มองเขาแล้วทำสีหน้ามึนเมาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดพวกเราสองพี่น้องถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ ความสัมพันธ์มากกว่ายี่สิบปีของพวกเราไม่ได้น่าดึงดูดใจเท่าบัลลังก์งั้นหรือ น้องรอง…เจ้าบอกความจริงกับข้ามาเถิดเจ้าไม่เคยมองข้าเป็นพี่ชายจริงๆ เลยใช่หรือไม่”
ซิ่นอ๋องตามเขาไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร “พี่ใหญ่…”
ไท่จื่อเมาจนคว้าแขนเสื้อเขาแล้วร้องไห้ “เจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่! น้องรอง ข้าเจ็บปวดมาก! ยี่สิบปีที่ผ่านมาพวกเราเรียนหนังสือด้วยกัน ก่อเรื่องด้วยกัน โดนเสด็จพ่อดุด้วยกัน ที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องโกหกหรือความสัมพันธ์ของพวกเราไม่สำคัญเท่าบัลลังก์จริงหรือ”
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ลงรอยกันมานาน แต่ซิ่นอ๋องก็ไม่ได้ปล่อยวางสีหน้าเลย เมื่อได้ยินเข้าพูดเช่นนั้นเขาก็รีบพูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…”
ไท่จื่อลากเขาแล้วเดินเซไปอีกด้านหนึ่ง “ดูสิ ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่พูดความจริง! ข้าทนไม่ไหวแล้ว! น้องรอง พวกเรามาคุยกันดีๆ จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรือ ปีนั้นข้าสัญญาว่าพวกเราสองพี่น้องจะรุ่งเรืองไปด้วยกัน…น้องรองดูสิ พระจันทร์คืนนี้สวยจริงๆ พวกเราไม่ได้ชมพระจันทร์ด้วยกันมานานแล้ว…”
“พี่ใหญ่…”
ตามสัญชาตญาณแล้วซิ่นอ๋องไม่เชื่อไท่จื่อเลย ไท่จื่อไม่ได้ฉลาดมากนัก เป็นคนใจแคบ ปีนั้นเมื่อถูกอีกฝ่ายค้นพบความทะเยอทะยานของตนก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้กันเลย แต่เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของไท่จื่อจึงยังไม่ควรหักหน้าอีกฝ่าย
อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ทายาทสายตรง และทายาทคนโต เมื่อเทียบกับไท่จื่อแล้วชื่อเสียงที่ดีมีข้อดีเพียงอย่างเดียวคือถ้าหากเขาทำอะไรอย่างไม่ระมัดระวังก็จะเป็นการยากที่จะโต้แย้งในอนาคต
ซิ่นอ๋องส่งสายตาให้องครักษ์ของตน แต่องครักษ์ของเขาถูกองครักษ์ของไท่จื่อรั้งไว้ ทันใดนั้นเขาก็ถูกไท่จื่อที่ ‘เมามาย’ ลากออกไป
……………