คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 52 ตามหา
หมิงเวยเปิดประตูห้องสักการะ พิธีศพยุ่งมากจึงไม่มีผู้ใดเฝ้าอยู่ที่นี่ นางยืนต่อหน้าเสวียนหนี่เหนียงเหนียงอย่างเงียบๆ มองขึ้นไปยังขื่อที่ฮูหยินสามแขวนคอ
อาหว่านเดินเข้ามาจากด้านนอก “แม่นางหมิง หากทางฝั่งท่านไม่มีอันใดแล้ว บ่าวจะกลับไปรายงานให้คุณชายทราบ”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก” หมิงเวยเดินไปนั่งม้านั่งตัวเล็กที่วางตั้งอยู่สองฝั่งแล้วยื่นมือเชิญชวน “หากแม่นางอาหว่านไม่รีบอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าก่อนเถอะ”
อาหว่านยืนนิ่ง และพูดออกไป “อาหว่านเป็นเพียงสาวใช้ ถึงแม้คุณชายจะดูแลอย่างดี แต่ก็มีหลายเรื่องที่ข้าไม่สามารถทำได้”
หมิงเวยหัวเราะแล้วรินชาเย็นๆ ที่ค้างคืนให้ตนเอง “เจ้าคิดเยอะเกินไปแล้ว หากข้าขอร้องให้ใครทำอันใดสักอย่าง ข้าคงไปขอคุณชายโดยตรง เหตุใดต้องทำอะไรเกินพอดีด้วย”
“….” อาหว่านคิด หากไม่ใช่เพราะนางเพิ่งประสบกับการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของคนใกล้ชิดไปละก็ ตนคงหันหน้าเดินหนีไปแล้ว
นี่ไม่ใช่การเยาะเย้ยหรือขอร้องนางที่ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่
ถึงแม้ว่าตัวนางจะปฏิเสธไปเช่นนั้น…ในที่สุดอาหว่านก็นั่งลงตรงหน้านาง
หมิงเวยวางถ้วยชาลง ชาเย็นชืดที่ค้างคืนมีรสขมอย่างเลี่ยงไม่ได้ รสชาติของใบชา โดนแช่จนชุ่มไปหมดแล้ว กลิ่นหอมระเหยออก และมีรสฝาดเข้มข้นกว่า
ซึ่งทำให้คนรู้สึกตื่นเป็นพิเศษ
หมิงเวยไม่ได้รินชาให้นาง “ชานี้ไม่เหมาะสำหรับรับแขก ขออภัยด้วยที่เสียมารยาท”
อาหว่านตอบกลับอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แม่นางหมิงอยากพูดอันใดพูดมาเถอะ อาหว่านจะตั้งใจฟัง”
หมิงเวยจิบชาเย็นชืด “คุณชายหยางคงไม่รู้ว่าคนที่ตระกูลหมิงตั้งใจส่งไปนั้น จริงๆ แล้วเป็นท่านแม่ของข้า ไม่ใช่ข้า”
อาหว่านไม่ตอบอันใด แต่คิ้วของนางเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่ต้องให้นางพูด หมิงเวยก็รู้ความหมายนั้นดี “ท่านแม่ของข้าถึงจะไม่เด็กแล้ว แต่รูปลักษณ์ท่าทางของนางดีกว่าข้า”
อาหว่านเงียบไปพักหนึ่งและพูดเบาๆ ว่า “เพราะนางเป็นสาวงาม”
“ใช่…สาวงาม” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองขื่ออีกครั้ง “ชีวิตนี้ของนาง ถ้าจะผิดก็คงเป็นเรื่องนี้” เพราะว่างดงามจึงถูกท่านลุงนึกถึง เพราะว่างดงามจึงถูกบังคับให้ทำเรื่องสกปรกเช่นนั้น
“ตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ครั้งแรก ข้าไม่กล้าคิดว่านางต้องพบเจออะไรมาบ้าง สิบปีมานี้นางผ่านมาได้อย่างไร แม่นางอาหว่าน หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”
อาหว่านเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หรือไม่ก็กลายเป็นคนเฉยชา แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น”
หมิงเวยหัวเราะเสียงต่ำ “เรื่องต่างๆ บนโลกนี้ หากไปอยู่ในจุดที่ต้องอยู่ทั้งๆ ที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็เหมือนกายได้ตกอยู่ในนรกแล้ว การตายจำเป็นต้องใช้ความกล้า มีชีวิตอยู่ก็ต้องใช้ความกล้าไม่มีผู้ใดแยกออกหรอกว่าอย่างใดดีกว่ากัน”
อาหว่านเงียบไม่ตอบอันใด “ข้าไม่เคยถามนาง แต่ก็รู้ว่านางคิดอันใดอยู่” หมิงเวยพึมพำ “นางไม่กล้าตาย! หากนางตาย แล้วบุตรสาวจะอยู่อย่างไรเล่า ผู้ใดจะมากังวลว่าลูกจะกินอิ่มสวมใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ หรือไม่ ผู้ใดจะมาดูแลลูกทั้งชีวิต ผู้ใดจะสามารถให้ลูกของตนใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้”
เมื่อถึงตรงนี้อาหว่านเห็นว่าดวงตาของนางมีน้ำตาคลออยู่ “เด็กโง่ๆ ผู้หนึ่ง หากไม่มีผู้ใดดูแลนาง นางอาจมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าหมูหรือสุนัข เพราะอย่างนั้นนางถึงไม่กล้าตาย ยอมตกอยู่ในนรกดีกว่ากล้าที่จะตาย” น้ำตาหยดนั้นท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ไหลออกมา
ในตอนนี้อาหว่านรู้สึกว่าตนเองเลือดเย็นอำมหิตเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะความมืดมนนี้นางเห็นมาจนชินแล้วใช่หรือไม่
คุณชายบอกว่าแม่นางหมิงผู้นี้เก่งมาก ไม่ทราบว่านางต้องการอันใดกันแน่ นางเห็นว่าข้าเป็นคนไร้เดียงสางั้นหรือ หรือว่าต้องการให้ตนรู้สึกประทับใจกับคำพูดนี้ แล้วให้ไปพูดดีๆ กับคุณชายอย่างนั้นหรือ
เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรหากไม่มีประโยชน์ต่อคุณชายแล้ว พวกนางสองแม่ลูกที่น่าสงสารนี้จะเป็นอย่างไรกัน ถึงพูดไปเช่นนั้น แต่แววตาของอาหว่านไม่สั่นไหวแต่อย่างใด
ในตอนนั้นเองตัวฝูที่ดวงตาแดงก่ำก็เปิดประตูเข้ามา “คุณหนูเจ้าคะ…”
“อืม” หมิงเวยถามอย่างใจเย็น “เอาของมาหรือไม่”
“เอามาเจ้าค่ะ” ตัวฝูหยิบถุงผ้าออกมา
หมิงเวยหยิบธูปออกมาจากตู้ก่อนจะจุดไฟแล้วปักเข้าไปในกระถางธูป จากนั้นจึงรับถุงผ้ามาแล้วหยิบข้าวออกมาหนึ่งกำมือแล้วโรยลงบนพื้นหน้าแท่นบูชา
กำแล้วกำเล่า โปรยลงมาเป็นชั้นๆ พอจัดการเสร็จแล้ว นางจึงยื่นมือไปหาตัวฝู “มีด”
ตัวฝูหยิบกรรไกรออกมาวางบนมือของหมิงเวย หมิงเวยถือกรรไกรแหลมคมแล้วกรีดที่ข้อมือของตนเอง
หยดเลือดสีแดงหยดลงบนข้าว จนกระทั่งเลือดสีแดงกระจายไปทั่วจึงยื่นมือให้ตัวฝูพันแผล จากนั้นหมิงเวยก็ยืนขึ้นแล้วมองไปยังข้าวที่โปรยลงเป็นทาง
อาหว่านเฝ้าดูอย่างเงียบๆ จนกระทั่งธูปดับจึงถามว่า “ท่านกำลังเรียกวิญญาณหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า
“แล้วพบหรือไม่เจ้าคะ”
“อย่างที่เจ้าเห็น หาไม่พบ” อาหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรืออาจเป็นเพราะยังไม่เข้าสู่กลางคืน หยางชี่เลยแกร่งเกินไป”
“ไม่ใช่วิญญาณชั่วร้าย ไม่จำเป็นต้องกลัวหยางชี่มากเพียงนั้น ปรากฏตัวในที่ร่มได้”
“แล้ววิญญาณของท่านแม่ท่านเล่า”
“นั่นแหละปัญหา!” หมิงเวยนั่งยองๆ แล้วมองไปที่ข้าวบนพื้นอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยของวิญญาณ
“หลังจากตายไปแล้ววิญญาณจะอยู่ในช่วงที่กำลังสับสนงุนงง ไม่รู้ตนมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ในเวลานี้เป็นไปได้ว่าล่องลอยไปอยู่ที่อื่น หลังจากปรับตัวได้สักระยะจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ระยะเวลานี้โดยพื้นฐานแล้วคือเจ็ดวัน เพราะฉะนั้นจะมีเวลาเพียงแค่เจ็ดวันที่จะเรียกวิญญาณกลับมา”
หมิงเวยชะงักแล้วพูดต่อ “ข้าไม่พบวิญญาณในห้องนอนของท่านแม่ ในที่ที่ท่านแม่ฆ่าตัวตายก็หาไม่พบ”
“เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” อาหว่านอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ว่าท่านแม่จะเสียชีวิตเมื่อคืนวานหรือเช้าวันนี้ ในช่วงเวลาอันสั้นเพียงนี้ นางไม่ควรไปล่องลอยอยู่ที่อื่น”
อาหว่านได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ “ท่านจะบอกว่า…”
“ข้าไม่แน่ใจ” หมิงเวยลุกขึ้นยืนปัดเศษข้าวในมือออก “ว่าวิญญาณของนางถูกกักขังอยู่หรือเปล่า”
“หากเป็นเช่นนี้หมายความว่าตระกูลหมิงซ่อนเสวียนชื่อไว้งั้นหรือ”
หมิงเวยตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นเสวียนชื่อก็แค่เข้าใจวิชาในระดับขั้นต้นมีความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
แค่เห็นวิชาแผดเผาวิญญาณนั่นก็รู้แล้ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าคู่ต่อสู้จะเข้าใจในวิชาแค่ขั้นต้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ
เพราะว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่เคล็ดวิชาเท่านั้น สถานการณ์ใต้หล้า อำนาจ ข่าวลือ…สามารถฆ่าคนได้ดีกว่าวิชาเสียอีก!
หมิงเวยกลับไปนั่งรินชาค้างคืนอีกครั้ง “ในเมื่อท่านแม่ของข้าเสียชีวิต หมายความว่าเรื่องที่ข้าไปสวนซิ่นแทนท่านแม่เมื่อคืนก็ไม่เป็นความลับอีกแล้ว หากเมื่อคืนข้ากลับมา สิ่งที่รอข้าอยู่คงไม่ใช่ฉากใหญ่เช่นนี้ ถึงข้าจะเป็นแค่เด็กกำพร้าผู้หนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บไว้ได้”
นางหยุดชะงัก “อาจจะเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าจนสายแล้วข้ายังไม่กลับมา เพราะกลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณชายหยางถึงได้แสดงละครฉากใหญ่เช่นนี้”
อาหว่านขมวดคิ้ว “ท่านต้องการให้ข้าไปบอกคุณชายหรือ”
หมิงเวยยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ ข้าไม่ให้เขาลงมือตอนนี้หรอก แค่ขอร้องให้เจ้าช่วยไปบอกเขาให้ช่วยเชิญใต้เท้าเจี่ยงมาเข้าร่วมไว้อาลัยผู้ถึงแก่กรรมก็พอแล้ว เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหนานเซียงโหว การที่ใต้เท้าเจี่ยงมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการลดตัวอันใด”
อาหว่านตอบกลับไป “คุณชายไม่ได้เป็นหนี้บุณคุณท่าน”
“เจ้าหน้าที่ตงหนิงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เขามาที่นี่นานเพียงนี้พบความคืบหน้าอันใดหรือไม่ เจ้าไปบอกเขาว่าหากใต้เท่าเจี่ยงมาที่นี่ ข้ายินดีที่จะเป็นคนทำลายความสัมพันธ์ของพวกเจ้าหน้าที่ตงหนิง ฉีกกระชากหน้ากากพวกเขาให้เอง!”
หมิงเวยวางถ้วยชาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
…………………………………………………..