คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 522 ไม่ไป
พระราชโองการปลดไท่จื่อสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วราชสำนัก และในหมู่ประชาชน
ในปีที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ได้แต่งตั้งไท่จื่อซึ่งผ่านมายี่สิบปีแล้ว แล้วพอมาประกาศว่าปลดก็คือปลดเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการปลดสองคนติดกัน ซิ่นอ๋องเองก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งอ๋องด้วย เช่นนั้นอันอ๋องจะได้รับตำแหน่งแทนหรือ
ในเวลาอันสั้นจวนอันอ๋องที่แสนเงียบเหงาไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่เดินทางมาหาอย่างร้อนรน
อันอ๋องตกตะลึง เขาถูกมองข้ามมาตลอดยี่สิบปี ปกติผู้ที่ติดต่อด้วยมักจะเป็นเหล่าคุณชายเจ้าสำราญ มีผู้อื่นเดินทางมาหาที่ไหนกัน
แต่ตอนนี้กลับมีผู้มาเยือนราวกับคลื่นน้ำซัดสาดทำเอาตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงปิดประตูจวนด้วยเหตุผลว่าป่วย ผู้ใดมาหาก็ไม่เปิดให้
ภายในร้านวางจี้ฟู่จินถอนหายใจ “อันอ๋องทำก่อนคิดจริงๆ ปิดประตูไม่รับแขกในเวลานี้เป็นการตอบสนองที่เหมาะสมที่สุด” เดิมทีฮ่องเต้ไม่ได้คิดที่จะแต่งตั้งเขาหากเขาทำตัวล่องลอยในเวลานี้ฮ่องเต้อาจไม่พอใจ
หมิงเวยที่แต่งกายเป็นบุรุษนั่งอยู่ด้านหลังเขายกจอกสุราด้วยรอยยิ้ม “หรือจะบอกว่าผู้ที่มีลมหายใจของมังกรจริงๆ แล้วคืออันอ๋องหรือเจ้าคะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฟู่จินพูดด้วยความแปลกใจ “แม่นางหมิง ท่านมองเห็นโอรสสวรรค์จากใบหน้าของเขาจริงๆ หรือ”
หมิงเวยตอบกลับว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้ลึกลับอะไรเพียงนั้นเจ้าค่ะ สามารถเห็นรูปลักษณ์อันสูงส่งได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นมังกรหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมไม่ใช่ว่าไม่เปลี่ยนแปลง มนุษย์สามารถเอาชนะสวรรค์ได้”
“ก็จริง ถ้าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว แล้วทุกคนจะพยายามไปทำไมกัน สามส่วนคือโชค อีกสามส่วนคือชะตา ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง”
“เป็นเช่นนี้นั่นเอง”
หมิงเวยถามเขา “ตอนนี้ไท่จื่อถูกปลดแล้วท่านจะกลับไปหรือไม่เจ้าคะ”
ฟู่จินยิ้ม “แน่นอนว่าต้องกลับคนดังอย่างข้าจะเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยได้อย่างไร ถึงแม้ไท่จื่อจะโดนปลด แต่ข้าก็เป็นอาจารย์ของเขาจริงหรือไม่”
“แต่ตอนนี้ไท่จื่อถูกปลดแล้วก็ถูกสั่งห้ามเกรงว่ากลับไปอาจารย์คงทำอะไรไม่ได้มากนัก”
ฟู่จินจิบสุราช้าๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไม่ทำอะไรน่ะถูกแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อให้ไท่จื่อ และซิ่นอ๋องพินาศไปด้วยกัน ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเราจะโชคดีเพียงนี้พวกเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนกันเอง ไท่จื่อและซิ่นอ๋องตกต่ำพร้อมกันตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ไม่ว่าข้าหรือไท่จื่อเองก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ รอให้เรื่องราวสิ้นสุดลงจนไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้เสียก่อนพวกเราถึงออกจากเขาได้”
หมิงเวยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ขนาดไท่จื่อถูกปลดอาจารย์ยังไม่ทอดทิ้งเขา ชื่อเสียงของท่านยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก! และยังใช้โอกาสนี้ที่จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ท่านฉลาดจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ไม่หรอก แม่นางสุภาพเกินไปแล้ว” ทั้งสองยกยอปอปั้นกันอยู่ครู่หนึ่งฟู่จินก็กลับไปอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจากไปเขาพูดว่า “ช่วงนี้ไม่ต้องติดต่อมานะอย่างน้อยสุดก็ครึ่งปี ข้าจะไม่ออกจากจวน”
“แล้วถ้าหากเกิดอุบัติเหตุล่ะเจ้าคะ”
ฟู่จินพูดว่า “เว้นแต่ชีวิตจะตกอยู่ในความเสี่ยงข้าเชื่อว่าท่านสามารถจัดการกับมันได้” เขาเหยียดฝ่ามือออกแล้วนับ “ในวังมีกุ้ยเฟยวางแผนในราชสำนักมีลูกศิษย์ของข้าคอยจับตาดูอยู่ ข้างกายท่านอ๋องมียอดฝีมืออย่างจอมยุทธ์หนิง แล้วยังมีท่านราชครูที่คอยส่งข่าวทั้งในนอก แล้วยังมีเสนาบดีในราชสำนักอีก ไม่ใช่ว่าท่านฝังเส้นสายไว้ในนั้นแล้วหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพจง แม่นางหมิง…ความเข้มแข็งของพวกเรามิอาจประเมินได้ หากแสดงออกมาทั้งหมดคงทำให้ราชสำนักและประชาชนต่างตกตะลึง สิ่งที่ขาดหายไปตอนนี้คือโอกาส อุปสรรคอย่างไท่จื่อถูกกำจัดออกแล้ว พวกเราทำได้เพียงรอโอกาสที่จะมาถึงเท่านั้น”
…………
ฟู่จินออกจากร้านวางจี้ เขาไม่ได้นั่งรถม้าแค่เดินกลับไปที่ถนนสายหลัก จากนั้นเข้าไปในตำหนักหลังหนึ่ง ที่นี่เดิมทีเป็นจวนอ๋องในราชวงศ์ก่อนซึ่งถูกทิ้งร้างมาตลอด หลังจากมีพระราชโองการให้ปลดไท่จื่อลงเขาก็ย้ายจากตำหนักตงกงมาที่จวนอ๋องแห่งนี้
จวนอ๋องได้รับการซ่อมแซมอย่างเรียบง่ายผนังด้านนอกเสริมด้วยชั้นหนึ่ง ข้างนอกมีทหารเฝ้าอยู่ หากคนในอยากออกต้องผ่านการอนุญาตจากผู้บัญชาการของพวกเขา
ผู้บัญชาการผู้นั้นสุภาพกับฟู่จินมากเมื่อเห็นเขากลับมาก็พูดอย่างแสดงความนับถือ “ท่านฟู่ยังกลับมาหรือ”
ฟู่จินยิ้ม “ย่อมต้องกลับมาอยู่แล้ว ได้เนื้อหมูเค็มจากลูกศิษย์มา จะมีเหตุผลให้หนีไปได้อย่างไร” เขามอบถุงกระดาษให้ผู้บัญชาการ “หัวหมูของร้านวางจี้เป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง! เกรงว่าคงจะไม่ได้ทานอีกสักพัก เพราะวันนี้ข้าทานไปจนอิ่มหนำแล้ว หากท่านแม่ทัพไม่รังเกียจก็นำไปเลี้ยงแจกจ่ายเถิด!”
ผู้บัญชาการพูดอย่างมีความสุข “บังเอิญจริง ข้าเองก็ชอบเหมือนกัน หากท่านอยากทานก็ให้คนออกไปซื้อมาให้ได้ ไม่จำเป็นต้องอดทานหรอก”
ฟู่จินกล่าวขอบคุณเขาทิ้งห่อเนื้อหมูไว้แล้วเข้าไปในจวนเก่า
แทนที่จะเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง เขาเดินไปหาเจียงเชิ่ง
เมื่อเขาไปถึงก็มีคนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกแล้วมีเสียงกระเบื้องแตกจากด้านใน “ออกไปซะ! ข้าบอกให้ออกไปไม่ได้ยินหรืออย่างไร ตอนแรกทำเป็นหวังดีกับข้าตอนนี้กำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ใช่หรือไม่ อยากจะไปก็ไป! ข้าไม่ต้องการพวกเจ้า!”
“อาจารย์!” บ่าวรับใช้ของเจียงเชิ่งเมื่อเห็นฟู่จินก็รู้สึกราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง “ในที่สุดท่านอาจารย์ก็กลับมาแล้ว! ไท่จื่อ…องค์ชายใหญ่กริ้วมากพวกเราเกลี้ยกล่อมไม่ไหวขอรับ”
ฟู่จินยื่นหัวหมูในมือให้เขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องห่วงที่นี่ยังมีข้า พวกเจ้าถอยไปเถอะ”
พูดจบเขาก็เข้าไปในห้องดวงตาของเจียงเชิ่งในตอนนี้แดงก่ำ เขาเตะอนุภรรยาไปก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นจึงเตะอีกครั้ง อนุภรรยาผู้นั้นเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่กล้าร้องออกไปนางพูดเสียงเบาเพียงไม่กี่คำดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
“องค์ชาย” ฟู่จินทำตัวเหมือนไม่เห็นอะไรน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย เจียงเชิ่งตกตะลึงเมื่อเห็นเขาความโกรธของเขาเย็นลงเล็กน้อย
“ท่านไม่ได้จากไปแล้วหรือ”
ฟู่จินประสานมือแล้วยิ้มตอบเขา “เมื่อครู่ออกจากจวนไปซื้อหัวหมูที่ร้านวางจี้ องค์ชายต้องการทานด้วยกันหรือไม่”
เจียงเชิ่งมึนงงเล็กน้อยไม่รู้จะตอบอย่างไร ก่อนหน้านี้เขาถามถึงฟู่จิน แต่ผู้ดูแลบอกว่าเขาออกไปแล้ว
การปลดไท่จื่อเป็นช่วงเวลาสั้นๆ คนรอบกายเขาก็เดินจากไป บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาในตำหนักตงกงล้วนได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ในเมื่อเขาถูกปลด ผู้ที่ไม่ต้องการติดตามเขาก็จากไปแล้วยังมีนักปราชญ์จำนวนหนึ่งมาขอลาออกดีๆ แต่ก็มีไม่น้อยที่เก็บข้าวของเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวบอกลา
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมแพ้เมื่อมาถึงจวนอ๋องทรุดโทรมมาก ค่าอาหารเสื้อผ้าลดลงไม่หยุดก็เกิดถอดใจทีละน้อย และจากไปหลายคน
เจียงเชิ่งถูกโจมตีทุกวันเมื่อได้ยินว่าฟู่จินออกไปก็คิดว่าเขาจากไปแล้วจึงไม่สามารถระงับความโกรธได้อีกต่อไป ผู้ใดจะคิดว่าฟู่จินจะกลับมา
ฟู่จินเหลือบมองอนุภรรยา และพูดเบาๆ ว่า “รีบให้คนมาทำความสะอาดจะให้องค์ชายอยู่ในที่เละเทะได้อย่างไร”
อนุภรรยาตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นด้วยความยากลำบากจากนั้นก็ออกไปเรียกใครสักคนเข้ามา ไม่นานห้องนี้ก็ได้รับการจัดใหม่อย่างเรียบร้อย
ฟู่จินสั่งให้ตั้งโต๊ะอาหารจากนั้นก็ไล่สาวใช้ออกไปแล้วเชิญเจียงเชิ่งให้นั่งลง
เจียงเชิ่งมองฟู่จินที่รินสุราให้ตนจู่ๆ เขาก็ได้สติแล้วคว้ามือฟู่จินไว้ จากนั้นพูดเสียงเครือว่า “ท้ายที่สุดท่านก็ไม่ทิ้งข้าผู้ที่เต็มใจที่จะอยู่เคียงข้างข้าคืออาจารย์ อาจารย์…ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรเพิกเฉยต่อคำสอนของท่านจนหุนหันพลันแล่น สุดท้ายจึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
……………