คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 525 คดีฆาตกรรม
กลางฤดูร้อนผ่านไปในที่สุดคลื่นลมเรื่องปลดไท่จื่อก็สงบลง
องค์ชายทั้งสองที่ถูกปลดไม่สามารถออกจากจวนได้ อันอ๋องไปเข้าเรียนที่หอเหวินฮวาทุกวัน อาการปวดศีรษะของฮ่องเต้จึงไม่กำเริบอีก
ฟู่จินเองก็ไม่ได้พูดยุยงก่อเรื่องอีกเขาศึกษาความรู้ในจวนอ๋องเก่าอย่างซื่อสัตย์ ราวกับในช่วงเวลาอันสั้นเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดผ่านพ้นไปเหลือเพียงความสงบสุข
เมื่อเข้าสู่เดือนเก้าก็เกิดเรื่องกับสะใภ้ต่ง หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็เกิดอาการปวดท้องยังไม่ถึงเวลาเที่ยงก็ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นายท่านจี้ที่ดีใจมากรีบไปไหว้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทันทีในที่สุดตระกูลจี้ก็มีผู้สืบทอดแล้ว!
จี้หลิงเองก็ดีใจมาก แต่เขาก็ได้เป็นบิดาไปแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่ได้ยั้งสติไม่อยู่จนทำกิริยาไม่ดีออกไป เขาอยู่ปลอบฮูหยินก่อนรอจนนางหลับถึงได้พาจูเอ๋อร์มาดูน้องชาย
จูเอ๋อร์พูดกับเขาว่า “ท่านพ่อ น้องชายน่าเกลียดมาก! หน้าเขาแดงเหมือนก้นลิงเลย!”
จี้หลิงหัวเราะ “น้องชายหน้าเหมือนจูเอ๋อร์มาก! ในตอนที่เจ้าเกิดก็ตัวแดงเช่นนี้ เหมือนก้นลิงเหมือนกัน”
“อา!” จูเอ๋อร์ยกมือปิดหน้า “ลูกน่าเกลียดเช่นนั้นเลยหรือ”
จี้หลิงหยอกล้อนาง “ใช่! น่าเกลียดจริง พ่อแม่เกือบไม่ต้องการเจ้าแล้ว” จูเอ๋อร์ตกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นหน้าตาที่ตกตะลึงของนางจี้หลิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดปลอบโยนนาง “พ่อล้อเล่นน่ะ! ดังนั้นจูเอ๋อร์ต้องไม่หัวเราะน้องชายนะ เจ้าโตมางดงามเช่นนี้ต่อไปน้องชายเจ้าต้องงดงามเช่นกัน”
หมิงเวยมาเยี่ยมเด็กๆ และได้ยินว่าสองพ่อลูกพูดคุยกันอย่างมีความสุขก็เดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ครอบครัวของพี่ใหญ่มีความสุขจริงๆ” นางพูด “พี่ใหญ่มีความสามารถ พี่สะใภ้เป็นคนมีเหตุผลเด็กทั้งสองน่ารักเช่นนี้ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
แม่นมถงพูดว่า “ต่อไปคุณหนูออกเรือนให้กำเนิดบุตรก็มีความสุขเช่นนี้เจ้าค่ะ”
หมิงเวยเพียงแค่ยิ้ม และไม่ตอบอะไร ช่วงนี้อาหว่านกระตือรือร้นบำรุงร่างกายหยางชูและนาง ทำน้ำแกงให้ทานทุกวัน หมิงเวยไม่พูดอะไร แต่ในใจรู้คำตอบชัดเจน
นางกังวลว่าพวกเขาจะให้กำเนิดบุตรไม่ได้!
หมิงเวยคิดว่ามันตลกที่จริงแล้วร่างกายของนางกับหยางชูไม่ได้มีปัญหา แต่ไม่มีบุตรฟังดูลึกลับไปหน่อย…เพราะนางตายแล้ว
เด็กมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชะตากรรมของบิดามารดานางที่ไม่มีดาวแห่งโชคชะตาจะทำสิ่งที่ไม่มีให้มีได้อย่างไร แน่นอนว่าคนไร้ชีวิตนางเองก็ไม่เคยเห็น ในที่สุดก็เปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ
บนโลกนี้มีตัวแปรอยู่เสมอ…
อย่างไรก็ตามตัวแปรมีค่าเท่ากับอุบัติเหตุความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างน้อยเสมอ นางจะไม่เดิมพันกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับหยางชูนางจะไม่อ่อนข้อบอกไปเด็ดขาด
ถ้าตัวแปรนั้นเกิดขึ้นจริงนางก็จะสามารถให้กำเนิดลูกหลานในยุคนี้ได้…
ช่างเถอะ เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยว่ากันหากไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีทางเป็นไปได้
…………………………
ในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้แดงร่วงทั่วขุนเขา หยางชูยืมชื่ออันอ๋องเฟยเชิญหมิงเวยมาเพลิดเพลินกับทิวทัศน์นอกเมืองอีกครั้ง ทั้งสองเดินเล่นกันเป็นเวลานาน และเมื่อใกล้จะค่ำแล้วทั้งสองจึงขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
“มาเถอะ ขนมกุ้ยฮวาที่เสี่ยวถงทำเมื่อเช้าลองชิมดูหน่อยว่าอร่อยหรือไม่”
ฝีมือของเสี่ยวถงจะแย่ได้อย่างไร หมิงเวยทานไปไม่กี่คำก็รู้สึกถึงรสหวาน ทั้งสองทานขนมไปพลางจิบชาไปพลาง
“ช่วงนี้ว่างมาก! ดูสงบจนไม่มีอะไรทำเลย” หยางชูถอนหายใจ
หมิงเวยตอบ “ผู้ที่ว่างมีแต่ท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ อาจารย์ฟู่กำลังยุ่งอยู่กับการเขียนหนังสือ ใต้เท้าเจี่ยงกำลังยุ่งอยู่กับการพิจารณาคดี ท่านหนิงกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝน เสวียนเฟยเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการกวาดล้างผู้เห็นต่างในเสวียนตูกวัน มีแต่ท่านเท่านั้นแหละที่ว่างเสียเวลาไปเปล่าๆ”
“หรือท่านก็ยุ่งด้วย”
“แน่นอนว่าใช่เจ้าค่ะ”
“ท่านยุ่งอะไร”
หมิงเวยกะพริบตาก่อนตอบ “สังเกตรูปแบบชีวิตคนอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
“….”
สังเกตรูปแบบชีวิตคนอะไรกันไม่ใช่ว่าไปเดินซื้อของทุกวันหรอกหรือ
“จะว่าไปข้าไม่ได้ติดต่อเสวียนเฟยมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วหรือยัง”
หยางชูพูดว่า “เหตุใดท่านต้องสนใจเขาเพียงนั้นด้วย หากมีเวลาก็มาสนใจข้าสิ!”
หมิงเวยเหลือบมองเขาคนผู้นี้พูดจริงจังได้ไม่ถึงสามคำเลยจริงๆ
…………
“ท่านไม่กังวลหรือว่าเขาจะสู้บุรุษชุดครามไม่ได้ ก่อนหน้านี้คาดเดาว่าบุรุษชุดครามซ่อนตัวอยู่ในเสวียนตูกวันหากมาหาเสวียนเฟยอีก…”
“ท่านบอกว่าอนาคตเขาจะกลายเป็นผู้ที่เดินเข้าสู่เส้นทางของปีศาจเขาจะตายง่ายได้อย่างไรเล่า”
หมิงเวยส่ายหน้าไม่ได้โต้เถียงกับเขา “กลับไปพบเสวียนเฟยที่เสวียนตูกวันสักหน่อย หากไม่พบบุรุษชุดครามข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
“ได้ๆๆ ตามที่ท่านพูด” ทั้งสองเล่นกันทั้งวัน และกลับเข้าเมืองในตอนกลางคืน เดิมทีนัดกันไว้แล้วว่าจะไปพบเสวียนเฟยที่เสวียนตูกวันในวันรุ่งขึ้นไม่คิดว่านอนหลับถึงกลางดึกหมิงเวยต้องตื่นขึ้นมาทันใด มีภาพแตกสลายมากมายแวบเข้ามาในหัวของนาง
ความมืด
ตะเกียง
เลือด
สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ฉากนี้บุรุษสวมชุดนักพรตเสวียนตูกวันล้มลงกับพื้นโดยมีกริชปักอยู่ที่ท้องของเขาเลือดไหลลงสู่พื้น
“เสวียนเฟยงั้นหรือ”
หมิงเวยพลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง อยากจะรีบไปที่เสวียนตูกวัน แต่พบกับทหารม้ากลุ่มหนึ่งที่กลับมาเปลี่ยนเวรที่เมืองหลวงในตอนดึก นางกังวลมากรอจนกระทั่งทหารม้าผ่านไปก็รุ่งสางแล้ว
ขณะที่นางกำลังจะออกจากเมืองก็ถูกใครบางคนรั้งเอาไว้ “แม่นางหมิง”
หมิงเวยหันกลับไปแล้วเห็นว่าเป็นเจี่ยงเหวินเฟิง ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ยังมีเหลยหงกับขุนนางตำแหน่งเล็กกลุ่มหนึ่ง เขาหันกลับไปสั่งการจากนั้นลงจากรถม้าเพียงลำพังแล้วเดินไปหาหมิงเวย
หมิงเวยเห็นท่าทางจริงจังของเขาราวกับมีเรื่องอยากจะพูด นางจึงตั้งสติและตัดขาดออกจากบรรยากาศโดยรอบ
“ใต้เท้าเจี่ยง มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ตอบ แต่ถามกลับไปว่า “แล้วท่านล่ะ เพิ่งจะรุ่งสาง แต่ท่านกำลังจะออกนอกเมืองมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำหรือ”
หมิงเวยพยักหน้าไม่คิดปิดบังเขา “ดูเหมือนจะเกิดเรื่องกับเสวียนเฟยเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงดูไม่ตกใจเลยเขาพูดว่า “เคล็ดวิชาช่างน่าทึ่งจริงๆ แม่นางทราบก่อนไปก้าวหนึ่งแล้ว”
หมิงเวยถามเขา “ท่านทราบหรือเจ้าคะ ว่าเกิดเรื่องใดกับเขา”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “เมื่อครู่เสวียนตูกวันมาแจ้งคดีฆาตกรรม”
หมิงเวยตกใจ “คดีฆาตกรรม หรือว่าเสวียนเฟย…”
“ไม่ใช่” เจี่ยงเหวินเฟิงแก้ไขความเข้าใจผิด “ผู้ตายคืออวี้หยาง ศิษย์พี่ที่แข่งกับเขาเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนัก นอกจากนี้สถานการณ์ของราชครูเสวียนเฟยก็ไม่ค่อยดีนัก”
“อะไรเรียกว่าไม่ดีหรือเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงชะงักเขาพูดว่า “ผู้ที่มารายงานคือผู้อาวุโสท่านหนึ่งในเสวียนตูกวัน เขาบอกว่าเสวียนเฟยสังหารอวี้หยางตอนนี้ท่านราชครูถูกเหล่าผู้อาวุโสคุมตัวไว้ รอฝ่าบาทตัดสิน”
หมิงเวยสับสน “เสวียนเฟยสังหารอวี้หยางหรือจะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ อวี้หยางสูญเสียอำนาจแล้ว เสวียนเฟยไม่เพียงนั่งในตำแหน่งเจ้าสำนักอย่างมั่นคง แต่ยังเป็นถึงราชครูอีก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฆ่าอวี้หยางเลย!”
“ผู้อาวุโสท่านนั้นบอกว่าเขากับอวี้หยางโต้เถียงกันเรื่องของดูต่างหน้าของราชครูซูสิงจึงหุนหันพลันแล่นฆ่าคนไป”
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “มีหลักฐานหรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “ไม่มี อวี้หยางเสียชีวิตที่เจดีย์กงเต๋อ ตอนนั้นมีเพียงท่านราชครู และเขาสองคนเท่านั้น เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่กำลังลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงจึงเข้าจับกุมท่านราชครูทันที”
แม้เสวียนเฟยจะเป็นเจ้าสำนัก แต่เสวียนตูกวันยังคงมีกลุ่มผู้อาวุโสที่มากประสบการณ์ ในสถานการณ์เช่นนี้เสวียนเฟยหนีไม่พ้นจริงๆ แต่สิ่งที่หมิงเวยนึกขึ้นได้กลับเป็นคำพูดครั้งก่อนของเสวียนเฟย
ครั้งก่อนที่บุรุษชุดครามโจมตีเสวียนเฟยสูญเสียของชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นของดูต่างหน้าของราชครูซูสิงสองเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่
………………