คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 527 ไม่พูด
เสวียนชื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า หมิงเวยแค่นหัวเราะ ป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิตยังไม่ปรากฏ ผู้ใดจะกล้าเรียกว่าตนเป็นเสวียนชื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้ากัน
เดี๋ยวนะ…ป้ายคุ้มกัน ป้ายสะกดวิญญาณงั้นหรือ
“ทำไมหรือ” หยางชูสังเกตเห็นท่าทีของนาง หมิงเวยมองหนิงซิวหัวสมองของนางหมุนอย่างรวดเร็ว ท่านอาจารย์เคยบอกว่าอาจารย์ปู่กลับไปรับป้ายสะกดวิญญาณกลับมา ดังนั้นเขาจึงไม่ลงรอยกับเสวียนตูกวันแตกหักกลายเป็นศัตรู
เป็นไปได้หรือไม่ว่าของสิ่งนั้นคือป้ายสะกดวิญญาณ เช่นนั้นคดีนี้นางยิ่งต้องเข้าไปแทรกแซง!
บรรยากาศในเสวียนตูกวันตึงเครียดไม่เพียงแต่ในหมู่ลูกศิษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่จำนวนมากด้วย ทั้งสามคนไปดูที่หอเหวินเต้าแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ยังรู้สึกถึงบรรยากาศนี้ได้
เสวียนตูกวันกำลังประสบปัญหาใหญ่ พวกเขาทำได้เพียงกลับไปที่หลังเขาและรอข่าวเท่านั้น หนิงซิวไปไขปริศนาของฉือจงจิงต่อ ส่วนหมิงเวยพูดคุยกับหยางชู
“ในยุคของข้าเสวียนตูกวันไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เจ้าค่ะ”
หยางชูพูด “ผ่านไปหลายปีเพียงนั้นบางทีบันทึกอาจสูญหายไปก็ได้ท่านเลยไม่รับรู้!”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” หมิงเวยเลิกคิ้ว “ข้าเคยบอกท่านว่าอีกไม่กี่ปีอาจารย์ปู่จะได้ป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิตกลับคืนมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักของพวกเราอย่างใกล้ชิดต้องสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่าปีนั้นไม่เคยเกิดเรื่องนี้ในเสวียนตูกวัน”
“เอ่อ…”
“อีกอย่างข้าสงสัยว่าของดูต่างหน้าของราชครูซูสิงอาจเกี่ยวข้องกับป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิตเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเบา “มีเพียงสมบัติระดับนั้นเท่านั้นที่คุ้มค่าพอที่จะทำให้เสวียนเฟยฆ่าคนได้” หยางชูมองนางแต่ไม่พูดอะไร
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
หยางชูพูด “ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยไว้ใจเขามากนัก”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “ข้าจะเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้าจะปล่อยเขา แต่ข้าไม่ลืมว่าเขาคือผู้ที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางของปีศาจ ข้าหลอกให้เขาฝึกวิชาลับนั้นก็เพื่อสอดแนมเขา” คำพูดนี้ทำให้หยางชูมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาพูดว่า “ผู้ที่เกี่ยวข้องคือราชครูที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยตัวพระองค์เอง เขาจะเป็นหรือตายต้องให้คนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสิน เช่นนั้นให้ข้ากลับไปสืบข่าวดีหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ดูไม่ยินดีตอนนี้กลับกระตือรืนร้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หมิงเวยยิ้ม “ไม่ลำบากท่านหรือเจ้าคะ”
“ไม่ลำบาก!” หยางชูกระตือรืนร้นมาก “เรื่องที่ท่านต้องการยากเย็นเพียงใดก็ต้องช่วยเหลือท่านใช่หรือไม่มันจะไปยากได้อย่างไร”
“ได้ เช่นนั้นท่านกลับไปสืบข่าวเถอะเจ้าค่ะ”
หยางชูหัวเราะแล้วเอนตัวเข้าไปหาอย่างหน้าไม่อาย “ให้ข้าวิ่งเต้นช่วยมีค่าตอบแทนให้หรือไม่”
…………
เจี่ยงเหวินเฟิงกลับมาที่เมืองในตอนเย็น เขาเข้าวังโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเข้าวังพร้อมกับผู้อาวุโสสองคนจากเสวียนตูกวัน
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในตอนเช้าทางฮ่องเต้ก็ได้รับข่าวแล้วคิดว่าหากกลับมาจากเข้าเฝ้าคดีคงคืบหน้าไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้าประตูไปผู้อาวุโสสองคนจากเสวียนตูกวันก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน
คนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ฝ่าบาท! เสวียนเฟยสังหารคนหลักฐานเป็นที่แน่ชัด ได้โปรดฝ่าบาทลงโทษเขาตามกฎหมายด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
อีกคนพูดว่า “ฝ่าบาท อย่าไปฟังเขานะพ่ะย่ะค่ะ! หลักฐานแน่ชัดอะไรกัน ไม่มีผู้ใดเห็นเสวียนเฟยฆ่าคนเสียหน่อย เขาไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้แน่จะต้องมีคนโยนความผิดให้เขาพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นทั้งสองก็ทะเลาะกัน ฮ่องเต้ทรงปวดพระเศียรจากการทะเลาะวิวาทของพวกเขา ว่านต้าเป่าลุกขึ้นยืน และตะโกนว่า “บังอาจ! พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ใดกัน ใช่หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาท!” ผู้อาวุโสทั้งสองคนถึงหยุดการโต้เถียงลง
ฮ่องเต้ขี้เกียจฟังพวกเขาจึงกล่าวว่า “ความจริงยังไม่ชัดเจนพวกเจ้าทะเลาะกันก็ไม่มีประโยชน์ ออกไปก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสสองคนไม่เต็มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อพวกเขาจากไปฮ่องเต้ก็ถามเจี่ยงเหวินเฟิง “เจี่ยงชิง ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านราชครูฆ่าคนจริงๆ หรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงรายงานว่า “ทูลฝ่าบาทคดียังไม่แน่ชัด กระหม่อมเลยไม่สามารถยืนยันได้ แต่กระหม่อมบันทึกไว้ในเอกสารเชิญฝ่าบาททอดพระเนตรได้พ่ะย่ะค่ะ”
ว่านต้าเป่านำเอกสารถวายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ยิ่งอ่านยิ่งคิ้วขมวด
เจี่ยงเหวินเฟิงออกจากเมืองตั้งแต่เช้าตรู่เมื่อมาถึงเสวียนตูกวันก็เริ่มการสอบสวนโดยทันที เสวียนเฟยในตอนนั้นได้ถูกเหล่าผู้อาวุโสคุมตัว และขังไว้ในเจดีย์กงเต๋อ
เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็หัวเราะ “ใต้เท้าเจี่ยง”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาอย่างละเอียดแล้วถามว่า “ท่านราชครูสบายดีหรือไม่”
เสวียนเฟยตอบ “ไม่เจ็บไม่ป่วย นับว่าสบายดี”
เจี่ยงเหวินเฟิงถามอีกว่า “ข้าได้รับรายงานแจ้งมาว่าอวี้หยางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของท่าน ท่านราชครูมีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่”
เสวียนเฟยส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ฆ่าอวี้หยาง”
“เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้น”
เสวียนเฟยถอนหายใจ “ขออภัยด้วยใต้เท้าเจี่ยงข้าไม่สามารถบอกได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงเตือนว่า “ท่านราชครู ท่านรู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้จริงจังเพียงใด ท่านคือราชครูที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง หากก่ออาชญากรรมร้ายแรงดังกล่าวจริงจะถูกลงโทษรุนแรงกว่าผู้อื่น”
“ข้าทราบดี” เสวียนเฟยไม่หวั่นไหว “แต่ข้าพูดไม่ได้จริงๆ”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้ากำลังออกจากเมืองข้าได้พบแม่นางหมิง นางรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับท่านจึงรีบมาช่วยเหลือ แต่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางทำให้ล่าช้า นางขอร้องให้ข้าช่วยสืบหาความจริงเพื่อคืนความยุติธรรมแก่ท่าน หากท่านไม่พูดออกมานางจะมาถามด้วยตนเอง” เสวียนเฟยเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็ยืนหยัดอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยด้วย ข้าไม่สามารถบอกได้จริงๆ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปที่เกิดเหตุก่อนสถานที่เกิดเหตุได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดีที่ชั้นบนสุดของหอคอยผนังเต็มไปด้วยป้ายวิญญาณ และอวี้หยางที่นอนอยู่ข้างโต๊ะบูชา
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเห็นเขามาก็รีบเข้าไปทักทาย “ใต้เท้า!”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ว่าอย่างไรบ้าง”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพูดว่า “บาดเจ็บจากอาวุธมีคม มีบาดแผลหลายจุดบนร่างกาย เขาน่าจะต่อสู้กับใครสักคน บาดแผลที่หน้าท้องสาหัสมากเขาถูกแทงลึกจนเสียเลือดมากแล้วเสียชีวิตในที่สุด”
เจี่ยงเหวินเฟิงนั่งยองๆ และดูให้แน่ใจว่าการตรวจสอบของเขาถูกต้อง
เขาหันมาสั่งการ “จิตรกรล่ะ”
จิตรกรที่กำลังวาดภาพอย่างรวดเร็วเงยหน้าขึ้น “อยู่นี่ขอรับ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองไปรอบๆ ยอดหอคอย และกล่าวว่า “วาดให้ละเอียดทุกมุมทุกด้าน”
“ขอรับ”
นี่เป็นนิสัยเฉพาะตัวของเจี่ยงเหวินเฟิงทุกครั้งที่สืบสวนคดีเขาจะพาจิตรกรมาด้วยเพื่อวาดภาพสถานที่เกิดเหตุ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ความทรงจำของเขาจะผิดพลาด
เหล่าเจ้าหน้าที่เคยชินกับคดีฆาตกรรมหลังชันสูตรศพ และบันทึกภาพเหตุการณ์เสร็จสิ้นพวกเขาจึงนำร่างของอวี้หยางวางบนเปลหาม
ตอนที่กำลังจะขนออกไปเสวียนเฟยพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าเจี่ยง บรรยากาศของเจดีย์กงเต๋อต่างออกไป หากท่านต้องการรักษาศพทางที่ดีอย่ายกออกไปเลยจะดีกว่าทิ้งไว้ที่นี่สามารถอยู่ได้นานโดยไม่เน่าเปื่อย”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขา แต่เสวียนเฟยหลังพูดเสร็จก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
“ใต้เท้าขอรับ” เจ้าหน้าที่ถามเพื่อขอคำแนะนำ
เจี่ยงเหวินเฟิงหันมาบอกว่า “เช่นนั้นก็เอาไปไว้ที่ชั้นสองพวกเจ้าเฝ้าให้ดี ไม่ว่าเมื่อไรจะต้องอยู่พร้อมกันสองคน”
“ขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงหันกลับมาถามเสวียนเฟยอีกครั้ง “จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังไม่พูดงั้นหรือ”
เสวียนเฟยไม่ตอบ เจี่ยงเหวินเฟิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากเจดีย์กงเต๋อเพื่อสอบถาม ร่องรอยในที่เกิดเหตุ และท่าทีของเสวียนเฟยไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา ทำได้เพียงหวังเรื่องพยานจะมีความคืบหน้า
จนกระทั่งเขาจากไปเสวียนเฟยยังคงเหมือนเดิม ไม่พูดอะไรสักคำ
……………