คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 528 เชิญ
ฮ่องเต้เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปเดินมา จากนั้นถามขึ้นว่า “หมายความว่าในที่เกิดเหตุมีแค่พวกเขาสองคน ภายในเจดีย์ กงเต๋อนอกจากศพของอวี้หยางแล้วก็มีเพียงท่านราชครูหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวเสริมว่า “ในช่วงเวลาเกิดเหตุมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังลาดตระเวน พอได้ยินเสียง กรีดร้องก็รีบไปที่เจดีย์กงเต๋อเขาแน่ใจว่าไม่พบผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ที่ตั้งของเจดีย์กงเต๋อไม่มีอาคารอื่นรายล้ อมจะขึ้นลงมีประตูเพียงบานเดียวเรียกได้ว่าไม่ต่างจากห้องลับ ท่านราชครูจึงตกเป็นที่น่าสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “หากเป็นผู้อื่นพบคงไม่สังเกตเห็นว่ายอดฝีมือหลบหนีไปแล้ว ในเมื่อเขาเป็นผู้อาวุโสจากเสวียนตู กวันจึงไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะปล่อยให้คนร้ายหนีไปอย่างเงียบๆ ภายใต้จมูกของเขา”
“อย่างน้อยก็พูดได้ว่าไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ท่านราชครูไม่ยอมบอกเลยหรือ”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “กระหม่อมถามหลายครั้ง แต่ท่านราชครูยืนกรานว่าจะไม่พูด กระหม่อมถามเหล่าผู้ อาวุโสในตอนที่พวกเขาจับท่านราชครูเขาก็ไม่ได้ขัดขืนแล้วก็ไม่แก้ตัวใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”
อาจกล่าวได้ว่าท่าทีของเสวียนเฟยเป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างมาก หากเขายืนกรานที่จะไม่พูด สุดท้ายก็จะไม่สามารถ คลายข้อสงสัยได้ทำได้เพียงแบกรับชื่อเสียเท่านั้น
“เจี่ยงชิง ปฏิกิริยาของท่านราชครูไม่สมเหตุสมผลมีเรื่องลี้ลับภายในหรือไม่”
เขาต้องการปกป้องเสวียนเฟย หลายครั้งที่เสวียนเฟยทำในสิ่งที่เขาพอใจ ส่วนอวี้หยางไม่มีความเกี่ยวข้องหรือสำคัญ อะไรกับฮ่องเต้มากนัก หากเขาต้องการฆ่าอวี้หยางจริงๆ ฮ่องเต้ก็ไม่สนใจ
ในฐานะที่เป็นชิงเทียนผู้กระทำอย่างยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องพิจารณาความเห ห็นของฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยงเหวินเฟิงเองก็ต้องการปกป้องเสวียนเฟยไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพันธมิตรกบฏกันไม่ใ ใช่หรือ
เขาพูดว่า “ทูลฝ่าบาทจากประสบการณ์การทำคดีของกระหม่อม นักโทษจะไม่ยอมรับความจริง และจะมีความกระวนกระวายใจมากกว่า าผู้บริสุทธิ์ จากปฏิกิริยาของท่านราชครูมีความเป็นไปได้ว่าเขาจงใจให้เกิดความสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จริงหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้คดีนี้ยังมีประเด็นที่น่าสงสัย” เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “กระหม่อมสั่งให้คนตรวจค้นเจดีย์กงเต๋อ แต่ไม่พบอาวุธสังหารพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกใจ “บนตัวท่านราชครูไม่มีหรือ”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูดว่า “เขาอาจเป็นผู้บริสุทธิ์ฆาตกรอาจเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง หลังฆ่าคนเสร็จก็หนีออกจากเจดีย์กงเต๋อ ผ ผู้อาวุโสผู้นั้นไม่ทันสังเกตไปชั่วขณะจึงทำให้เขาหนีไปได้”
“มีความเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเพิ่มความสงสัยให้เสวียนเฟยก่อนแล้วจึงปล่อยความสงสัยที่เป็นไปได้นี้ ในที่สุดเจี่ยงเหวินเฟิงวางเค้าลางล ล่วงหน้าแสดงให้เห็นความตั้งใจที่แท้จริง
“ฝ่าบาท…คดีนี้พิเศษมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นเสวียนชื่อ กระหม่อมต้องการผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เพื่อช่วยแ แยกแยะคดี ผู้ที่เคยให้ความร่วมมือล้วนเป็นเซียนจากเสวียนตูกวัน แต่ครั้งนี้ไม่สามารถรับประกันว่าในสถานการณ์ขอ องพวกเขาจะไม่ลำเอียง ดังนั้นกระหม่อมจึงต้องการขอให้คนนอกที่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชามาช่วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เจิ้นเห็นด้วยแล้วท่านเลือกผู้ใดไว้หรือ”
“สามปีก่อนที่เดินทางไปสืบคดีของเกิงซานที่ตงหนิง กระหม่อมได้รับความช่วยเหลือจากคุณหนูเจ็ดตระกูลหมิง ดังนั้นผ ผู้แรกที่กระหม่อมนึกถึงจึงเป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ นางนี่เอง!” ฮ่องเต้จำได้ว่านางสามารถไปถึงด่านสุดท้ายในการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเสวียนตูกวัน และ ได้พยากรณ์โชคชะตาแห่งแผ่นดินร่วมกับเสวียนเฟยและอวี้หยาง คำพูดของนางในตอนนั้นฮ่องเต้ยังจำได้ เพราะในช่วงระ ะยะเวลาสามปีนี้ได้รับการยืนยันแล้ว นางบอกว่าจะเกิดดาวสังหารขึ้นที่ซีเป่ย และมันก็เกิดสงครามครั้งใหญ่จริงๆ ๆ
แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมิงเวยกับหยางชูในใจฮ่องเต้ก็ไม่คิดอยากใช้นางเท่าไรนัก “ไม่มีผู้อื่นแล้วหร รือ นางได้หมั้นหมายกับเยวี่ยอ๋องหากปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้…”
เจี่ยงเหวินเฟิงยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยน “ทูลฝ่าบาท ในอดีตเพื่อควบคุมเสวียนเหมิน ไท่จู่เคยออกพระราชโองการว่า าเมื่อยอดฝีมือจากเสวียนเหมินมาเยือนเมืองหลวงต้องรายงานต่อเสวียนตูกวัน ดังนั้นหากไม่มีธุระพวกเขาจะไม่เข้าเม มืองหลวง ปัจจุบันเสวียนชื่อในเมืองหลวงล้วนไม่เรียกว่ายอดฝีมือไม่เช่นนั้นฝ่าบาทคงสามารถออกคำสั่งกับเสวียนเหมิ นได้อย่างรวดเร็วแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อถูกเขาเตือนฮ่องเต้จึงจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้เขาสามารถออกคำสั่งได้จริงๆแต่ราชสำนักมักจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ต่อการมีอยู่ของเสวียนเหมิน ในทางกลับกันเสวียนเหมินยินดีที่จะมาอยู่แล้วเพียงแต่ยอดฝีมือจากเสวียนเหมินส่วนใ ใหญ่หัวแข็งและหยิ่ง คำสั่งประเภทนี้ควรออกในช่วงเวลาวิกฤต และมันจะไร้ค่าหากออกคำสั่งมากเกินไป
เพื่อประโยชน์ของเสวียนเฟยเพียงผู้เดียวการออกคำสั่งเช่นนี้…ฮ่องเต้รู้สึกว่ามันไม่คุ้มเสีย
“ช่างเถอะ ในเมื่อเลือกไว้แล้วจะไปหาจากที่ไกลทำไมกัน กว่าจะรอคนมาถึงศพคงจะเน่าไปเสียก่อนท่านไปถามเยวี่ยอ อ๋องเอาละกัน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจี่ยงเหวินเฟิงขอตัวทันทีเมื่อบรรลุเป้าหมาย
หลังจากออกจากวังเขาก็ให้คนส่งข้อความถึงหมิงเวยทันที และเดินทางไปจวนเยวี่ยอ๋องด้วยตนเอง ไม่นานหมิงเวยก็มา าถึงจวนเยวี่ยอ๋อง
“ฝ่าบาทอนุญาตให้พวกเรามีส่วนร่วมในคดีนี้แล้วหรือ”
พอได้ยินคำพูดของหยางชูเจี่ยงเหวินเฟิงก็แก้ไขว่า “แค่แม่นางหมิงเท่านั้น ไม่ได้รวมท่านอ๋องด้วย”
แต่หยางชูเป็นคนหน้าหนา “ที่ฝ่าบาทตรัสมาก็ไม่ผิดพวกเราหมั้นกันแล้วจะปรากฏตัวในสังคมผู้เดียวได้อย่างไร มีคู หมั้นอย่างข้าพาไปด้วยคงไม่เป็นไร”
หมิงเวยหันไปมองเขา ฮ่องเต้ตรัสเช่นนั้น แต่ไม่ได้บิดพลิ้วพอถูกเขายืมมาใช้ประโยชน์ก็กลายเป็นการเอาขนไก่ไปทำ ำลูกศร[1]
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คำขอนี้ของเยวี่ยอ๋องก็ดูเหมาะสมดี”
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย หลังจากพูดคุยเรื่องสำคัญกันเสร็จ เจี่ยงเหวินเฟิงก็พูดว่า “ข้าจะกลับไ ไปจัดการเรื่องที่ศาลาว่าการเสียหน่อย หลังจากมอบหมายงานล่าสุดเสร็จแล้วข้าจะไปที่เสวียนตูกวัน คดีนี้สำคัญมาก ข้าเกรงว่าจะอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน”
หมิงเวยพูด “ข้าเองก็ต้องกลับไปคุยกับท่านลุงเจ้าค่ะ” แล้วหันไปหาหยางชู “ท่านจะกลับไปพร้อมกับข้าหรือไม่” แ แค่เกี้ยวหยางชูยังไม่สมหวัง
เมื่อเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วทั้งสองจึงไม่รอช้ารีบไปจวนตระกูลจี้ นายท่านจี้กลับมาจากสถานศึกษาแล้วไม่คิดว่าเยวี่ย อ๋องจะมาถึงที่นี่จึงรีบมาต้อนรับเขา
หมิงเวยไม่ต้องการรบกวนตระกูลจี้หลังจากทักทายเสร็จก็ให้หยางชูพูดเรื่องสำคัญ
เมื่อนายท่านจี้ได้ยินว่าเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้จึงรับปากเต็มปากเต็มคำแล้วรีบให้จี้ฮูหยินช่วยหมิงเวยเก็บของ ง และหากำลังคนไปช่วยด้วย
หมิงเวยปฏิเสธ และจะพาตัวฝูไปด้วยแค่คนเดียว และอาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่มืดรีบไปที่เสวียนตูกวันพร้อมกันกับหยาง งชู หนิงซิวเห็นพวกเขาไปแล้วกลับมาก็ไม่ชอบใจ “ไม่มีที่อื่นแล้วหรืออย่างไร พวกท่านพักในเสวียนตูกวันก็ได้”
หมิงเวยพูด “เวลาไม่เคยคอยท่า พวกเราพักที่เสวียนตูกวันแล้วแวะมาหาอาจารย์ ท่านจะไปกับพวกเราด้วยหรือไม่เจ้าค คะ” หนิงซิวลังเล
“ท่านมีอะไรลำบากใจหรือ”
หนิงซิวพูด “ข้ายังแก้ปริศนาที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ไม่ได้จึงไม่สบายใจ ที่นี่เคยถูกคนมาสอดแนมข้าเกรงว่าจะมีค คนฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่มาเอาของสำคัญไป”
หมิงเวยพูด “ให้ตัวฝูอยู่ที่นี่ได้เจ้าค่ะ พลังของนางในตอนนี้แข็งแกร่ง หากบุรุษชุดครามมาที่นี่อีกไม่ใช่ว่าเ เขาจะได้เปรียบเสมอไป”
หนิงซิวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ได้”
ทั้งสามรีบไปที่หอเหวินเต้าเพราะคำสั่งของฮ่องเต้ แม้คนของเสวียนตูกวันจะตำหนิเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่มีผู้ใดห้า าม ทั้งสามคนเข้าไปในเจดีย์กงเต๋ออย่างราบรื่น เมื่อก้าวเข้าไปในประตูหอคอยก็เห็นเสวียนเฟยนั่งขัดสมาธิบนฟูก โดยมีคนห้าหกคนยืนล้อมรอบอยู่
……………
[1] เอาขนไก่ไปทำลูกศร : การหาเหตุผลในการใช้กำลังของผู้ที่มีอำนาจ