คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 529 สันนิษฐานจากข้อมูล
เจี่ยงเหวินเฟิงโบกมือให้คนเหล่านั้นถอยออกไป ชั้นล่างจึงมีเพียงพวกเขาห้าคน หมิงเวยใช้เคล็ดวิชาเพื่อกันสายตา าที่สอดรู้สอดเห็นของผู้อื่นออกไปแล้วถามว่า “ท่านราชครูพวกเรามาที่นี่แล้ว ท่านจะยังไม่พูดอีกหรือเจ้าคะ”
เสวียนเฟยลืมตา และมองคนสี่คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งวันนี้เขาแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย เขาในตอนนี้ดูซีดเซียวแว ววตาดูไม่ผ่อนคลายเลย
เขาส่ายหัวช้าๆ “พวกท่านอย่ามายุ่งเลย”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดว่า “หากพวกเราไม่ยุ่งท่านได้กลายเป็นแพะรับบาปแน่ ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นราชครู แต่ เสวียนตูกวันยืนกรานที่จะลงโทษท่านอย่างหนัก ไม่แน่ว่าท่านอาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ท่านเข้าใจผลที่ตามมาหรือไม ม่”
เสวียนเฟยยังคงปิดปากไม่พูดอะไร
หมิงเวยพูด “ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะ ว่าจิตสำนึกของพวกเราสามารถสื่อถึงกันได้ เมื่อคืนข้าสัมผัสได้ว่าท่านกำลัง ตกอยู่ในอันตราย แต่ไม่อาจสืบค้นความลับในใจของท่านได้ ท่านเลือกมาเจ้าค่ะว่าจะให้ข้าเป็นคนสืบหรือจะพูดออกมาเ เอง”
เสวียนเฟยกลับบอกว่า “หากท่านสามารถสืบเองได้แล้วจะถามข้าทำไมกัน”
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเขาหลับตาและเพิกเฉยต่อพวกเขา ทั้งสี่เห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าไม่สำเร็จจึงทำได้เพียงยอมแพ้ ชั่วคราวเท่านั้น เจี่ยงเหวินเฟิงสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูเสวียนเฟย และพาพวกเขาขึ้นไปชั้นบนเพื่อตรวจสอบร่างข ของอวี้หยาง จากนั้นขึ้นไปที่ชั้นบนสุดเพื่อสังเกตที่เกิดเหตุ
ป้ายวิญญาณแผ่นหนึ่งชั้นบนสุดตกลงมามีเลือดกระเซ็นไปทั่ว หยางชูกวาดสายตามองรอบๆ เพื่อเก็บทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เขาไว้ในใจ เขามีความจำที่ยอดเยี่ยมและวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง จากเลือดที่สาดกระเซ็นเกิดฉากต่อสู้จำลองขึ้นอย่าง รวดเร็วในหัวสมองของเขา
“ศิษย์พี่” เขาเรียก “พวกเรามาฝึกกันสักรอบ”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองอยู่ด้วยกันมาสามปีแล้วหนิงซิวกับเขาเข้าใจกันโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย
“ตอนนี้ท่านคือเสวียนเฟย ยืนอยู่ตรงนี้” หนิงซิวเชื่อฟัง และยืนอยู่หน้าโต๊ะบูชา
หยางชูเดินวนไปรอบๆ และในที่สุดก็เลือกตำแหน่ง “การต่อสู้น่าจะเริ่มต้นจากที่นี่” เขาใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปห หาหนิงซิว
หนิงซิวโต้กลับ หยางชูแสร้งทำเป็นถืออาวุธมีคมและต่อสู้กับเขา
“ตอนนี้เสวียนเฟยน่าจะชักกระบี่ออกมาอาวุธของเขาคือกระบี่อ่อนใช่หรือไม่”
หนิงซิวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉีกผ้าออกจากเสื้อผ้าของเขาจากนั้นใช้กำลังภายในทำให้ผ้านั้นตั้งตรง ทั้งสองยังคงฝึ กฝนต่อไป
หยางชูลดความเร็วลง และเคลื่อนไหวท่าทางต่างๆ กับหนิงซิวพลางอธิบายว่า “ในเวลานี้เสวียนเฟยน่าจะได้รับบาดเจ็บ แล ละเริ่มสู้กลับ”
“อวี้หยางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาจึงได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง” ต่อสู้ไปสักพักเขาก็หยุด
“ทำไมหรือ” เป็นครั้งแรกที่เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นการฝึกซ้อมสดๆ จึงตั้งใจมองอย่างจดจ่อ
หยางชูพูด “แปลกมาก ร่องรอยถูกทำลายดูเหมือนว่าพวกเขาจะหยุดชั่วคราว”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดอย่างรอบคอบ “ท่านจะบอกว่าอวี้หยางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสวียนเฟย เช่นนั้นหากเขาลงมือกับเสวียน นเฟยก็น่าจะอาศัยอิทธิพลของผู้อื่นใช่หรือไม่”
“อืม…” หยางชูพูดต่อ “หลังจากนั้นไม่นานการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสวียนเฟยที่ลงมือก่อน”
“หืม” เจี่ยงเหวินเฟิงยังคิดว่าเสวียนเฟยเป็นฝ่ายถูกกระทำ เหตุใดถึงเป็นคนลงมือก่อนได้ล่ะ ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ทั้งสองยังคงต่อสู้ต่อไปหนิงซิวโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนหยางชูเป็นฝ่ายหลบเลี่ยง
“ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ อวี้หยางได้รับบาดเจ็บจึงมีคราบเลือดอยู่หลายจุด และตรงนี้ที่ซึ่งเลือดยังกระเซ็นอยู่บนผนัง ง” เจี่ยงเหวินเฟิงยิ่งมองยิ่งจริงจังมากขึ้น
“ตรงนี้เป็นกระบวนท่าสุดท้าย” ตามคำแนะนำของหยางชูแถบผ้าในมือของหนิงซิวก็ยืดออก และแทงออกไป หยางชูเอนหลังเล ล็กน้อยและหยุดลงที่นี่
“ใต้เท้าเจี่ยง ท่านเห็นชัดหรือไม่” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า
หนิงซิวสะบัดมือแถบผ้ากลับห้อยลงมาอีกครั้ง และสองศิษย์พี่ศิษย์น้องก็กลับไปที่บันได
“ตอนนี้มีบางอย่างผิดปกติ” เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “อาวุธสังหารไม่ใช่อาวุธของท่านราชครู เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเปรียบเทีย ยบกระบี่อ่อนของเขากับบาดแผลซึ่งความกว้างไม่เท่ากัน”
หยางชูพยักหน้า “กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าตำแหน่งนั้นของเสวียนเฟยอาจเป็นคนอื่น”
“อืม” เจี่ยงเหวินเฟิงเหลือบมอง และเห็นว่าหมิงเวยกำลังครุ่นคิดจึงถามออกไป “แม่นางหมิงมีความเห็นอื่นหรือ”
หมิงเวยพูด “ไม่น่าจะเป็นคนอื่นเจ้าค่ะ เท่าที่ข้ารู้หากเข้าไปในเจดีย์กงเต๋อต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนัก”
“แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนอื่นแอบเข้ามา”
หมิงเวยส่ายหน้า “กระบวนท่าที่อาจารย์หนิงฝึกซ้อมเมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าเหมือนเสวียนเฟย แต่นั่นเป็นเพียงสัญชาตญ ญาณไม่มีหลักฐาน”
หนิงซิวคิดแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับเสวียนเฟยจริงๆ ในตอนแรก เขาตอบโต้ด้วยยันต์จากนั้นเขาก็ชักอาวุธออกมา”
“แต่เราไม่พบอาวุธสังหารในที่เกิดเหตุ”
หมิงเวยพูด “ใต้เท้าเจี่ยง คนหนึ่งคนหนีออกจากเจดีย์กงเต๋อนั้นไม่ง่าย แต่ด้วยวิธีการของเสวียนชื่อการทำให้อ อาวุธหายไปไม่ใช่เรื่องยาก”
หนิงซิวพยักหน้า แต่เจี่ยงเหวินเฟิงยังคงรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล
เขาพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็มีข้อสงสัยสองประการ หนึ่ง เหตุใดเสวียนเฟยต้องใช้อาวุธมีคมอื่นเพื่อสังหารด้วย เข ขาไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้วหรือ สอง เขาล้างความผิดออกไปไม่ได้ก็ต้องเป็นแพะรับบาปเพราะฉะนั้นการทำให้อาวุธสังหาร รหายไปจึงไม่มีประโยชน์”
หยางชูถามทันทีว่า “อาวุธสังหารหายไปแล้วอาวุธของอวี้หยางล่ะ”
“ยังหาไม่เจอ”
“แปลกมาก ถ้าไม่มีอาวุธของอวี้หยางก็ไร้ประโยชน์ หากมีอาวุธอยู่ในที่เกิดเหตุก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาป้องกันตั ว”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาวุธที่เสวียนเฟยใช้ทำร้ายผู้คนคืออาวุธของอวี้หยาง” หนิงซิวถาม “ในช่วงครึ่งหลังของการฝ ฝึกอวี้หยางไม่ได้ทำร้ายเสวียนเฟย แต่เป็นเสวียนเฟยที่ทำร้ายอยู่ตลอดเวลาเป็นไปได้ว่าอาวุธของอวี้หยางถูกเสวีย ยนเฟยเอาไปและสุดท้ายก็ตายด้วยอาวุธของตนเอง”
ประโยคนี้เตือนเจี่ยงเหวินเฟิง “ข้าจะรีบให้คนไปถามรูปแบบอาวุธของอวี้หยาง และเปรียบเทียบกับบาดแผล”
แต่หมิงเวยพูดว่า “พวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก อย่างเช่นมีบุคคลที่สามอยู่ในที่เกิดเหต ตุ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเขาก็หยิบอาวุธสังหารไป”
“….”
ภายใต้แสงเทียนสลัวที่รายล้อมไปด้วยแผ่นป้ายวิญญาณสีดำสนิทประโยคที่นางกล่าวออกมาทำให้ทุกคนขนพองสยองเกล้า
เจี่ยงเหวินเฟิงขนลุกเขาเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วพึมพำ “ที่นี่สามารถซ่อนคนได้หรือ”
ชั้นบนสุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวางจึงไม่มีที่ให้ซ่อนตัวเลยเป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นค้างคาว อย่างไรก็ตามหยางชู ก็นึกถึงคนหนึ่งขึ้นมาเขาโพล่งออกไปว่า
“บุรุษชุดคราม!”
เสวียนเฟยเคยถูกบุรุษชุดครามลอบโจมตีเขาบอกว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเกิดที่ชั้นบนสุดของหอคอย ด้วยทักษะลึกลับซั บซ้อนของเขามันก็เป็นไปได้จริงที่จะหลุดออกจากเจดีย์กงเต๋อภายใต้สายตาของผู้อาวุโสจากเสวียนตูกวัน
หากเป็นเช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้วพวกเขาจะไปหาบุรุษชุดครามได้ที่ไหนกัน
หากหาบุรุษชุดครามไม่พบชื่อเสียของเสวียนเฟยก็ลบล้างไม่ออก
หมิงเวยส่ายหน้าแล้วดึงความคิดของพวกเขากลับมา “เหตุใดพวกเราไม่ตรวจสอบก่อนว่าคนร้ายเป็นเสวียนเฟยจริงๆ หรือไม่ ”
“แล้วจะทำให้แน่ใจได้อย่างไร” เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “พวกเราไม่มีหลักฐาน…”
“ข้ามีวิธีหนึ่งเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดตัดบทเขา “หากได้รับบาดเจ็บจะมีกำลังภายในบางส่วนหลงเหลืออยู่ในบาดแผลทิ้งกลิ่น นอายเบาบางเอาไว้ และของวิเศษของข้าไวต่อกลิ่นอายมาก”