คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 530 แยกแยะชี่
ทั้งสี่คนลงไปที่ชั้นสอง
เจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่คารวะ “ใต้เท้า”
เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “แม่นางหมิงจะทำอย่างไร”
หมิงเวยพูด “นำหมึกชาดกับพู่กันมาให้ทีเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงเหลือบมองซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทราบดีจึงลงไปยังชั้นล่างไม่นานก็กลับมาพร้อมของ สิ่งนี้มีอยู่ทั่วไปในเสวียนตูกวัน หมิงเวยรับหมึกและพู่กันมาแล้ววาดบนพื้นรอบศพของอวี้หยาง
หนิงซิวมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ค่ายกลหรือ”
“เจ้าค่ะ” หมิงเวยวาดด้วยความรวดเร็ว และพริบตาเดียวนางก็วาดเสร็จจากนั้นก็วางพู่กันแล้วบอกว่า “อันที่จริงตามเหตุผลแล้วกลิ่นอายในบาดแผลจะหายไปอย่างรวดเร็ว และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุตัวฆาตกรด้วยสิ่งนี้ แต่เหตุผลที่ครั้งนี้ใช้ได้เพราะเจดีย์กงเต๋อนั้นพิเศษเจ้าค่ะ การเคลื่อนไหลของชี่ที่นี่ถูกปิดกั้นซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศพที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ยังคงสามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน”
เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้วเขานึกถึงคำเตือนของเสวียนเฟยในตอนที่กำลังยกศพออกไปเมื่อกลางวัน เขาหมายความว่าอย่างนี้หรือ หากเขาเป็นคนฆ่าเขาจะกล่าวเตือนทำไมกัน
“เอาล่ะ เริ่มกันเลย!” นางหยิบยันต์ออกมาแล้วสะบัดมันออกไป
เจี่ยงเหวินเฟิงและเจ้าหน้าที่ทั้งสองรู้สึกถึงสายลมเย็นๆ รอบตัวพวกเขา
แต่ในสายตาของหนิงซิวและหยางชู ค่ายกลบนพื้นดินจู่ๆ ก็เหมือนมีชีวิตขึ้นมา อากาศก็ไหลเวียนก่อตัวเป็นวงจรที่มีเอกลักษณ์ การเคลื่อนไหลของชี่ไหลผ่านบาดแผลบนร่างกายของอวี้หยางกลิ่นอายที่มองไม่เห็นค่อยๆ หลบหนีจากมัน
กลิ่นอายเหล่านี้ควบแน่นรวมกัน และกลายเป็นแสงจางๆ สายหนึ่ง
“เสี่ยวไป๋” หมิงเวยกระซิบ
“เจ้าค่ะ” งูขาวเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อของนาง และวิ่งไปที่ศพของอวี้หยางทำให้ตนเองอยู่ท่ามกลางแสงจางๆ สายนั้น
หลังจากนั้นไม่นานมันก็ลงจากร่างของอวี้หยางแล้วเลื้อยลงไปข้างล่าง
หมิงเวย หนิงซิว และหยางชูเห็นดังนั้นจึงเดินตามลงไปข้างล่างทันที เนื่องจากมีหยกแขวนอยู่เจี่ยงเหวินเฟิงจึงสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวไป๋ได้
เมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นหนึ่งก็เห็นงูขาวกำลังสูดดมร่างกายของเสวียนเฟย จากนั้นก็พูดยืนยันว่า “เป็นเขาเจ้าค่ะ!”
ทั้งสี่คนหยุดนิ่ง “เจ้าแน่ใจหรือ” หมิงเวยถามอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ กลิ่นอายเหมือนกันเลย!”
หลังจากเรียกงูขาวกลับมาหมิงเวยก็นิ่งเงียบ เสวียนเฟยลืมตาขึ้นมองโดยไม่พูดอะไร สักพักอากาศก็ราวกับจับตัวเป็นก้อน
หลังจากผ่านไปนานก็ได้ยินเจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ และถามเขาว่า “ท่านราชครู ท่านพูดก่อนหน้านี้ว่าท่านไม่ได้ฆ่าอวี้หยางใช่หรือไม่” เสวียนเฟยเงยหน้ามองเขา
“ตอนนี้ท่านจะแก้ตัวอะไรหรือไม่”
เสวียนเฟยหลับตาแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
ทั้งสี่ออกจากเจดีย์กงเต๋อเงียบๆ และกลับไปที่หลังเขา
“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อเห็นพวกเขากลับมาตัวฝูก็รีบรินน้ำชาให้
เจี่ยงเหวินเฟิงดื่มชารวดเดียวจนหมดแล้วพูดว่า “ข้าจัดการคดีมามากกว่าสิบปี เห็นนักโทษเช่นนี้มามากมาย สถานการณ์ชัดเจนว่าเขาเป็นคนทำ แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกระทั่งต้องใช้ความตายมาบีบบังคับพอลองคิดดูแล้วอาจเป็นเพราะเผชิญกับตัวตนที่แท้จริงไม่ได้จึงต้องหลอกตัวเอง”
ทั้งสามไม่พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ก่อนหน้านั้นพวกเขาคิดว่าเสวียนเฟยเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หลังจากการระบุตัวของงูขาว…พวกเขาต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจเสวียนเฟยมากพอ ยิ่งไปกว่านั้นมนุษย์มีความซับซ้อนเกินไปแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีแล้วพวกเขาจะแน่ใจในบุคลิกของกันและกันได้อย่างไร
ตัวฝูถาม “คุณหนู พวกท่านแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะว่าท่านราชครูเป็นฆาตกรจริงๆ”
หมิงเวยส่ายหน้าแล้วสรุปเรื่องนี้สั้นๆ ว่า “…ตอนนี้เป็นเช่นนั้นไปแล้วไม่ว่าจะเป็นจำลองตามร่องรอยในที่เกิดเหตุหรือวิธีแยกแยะกลิ่นอายของงูขาว ทั้งหมดชี้ไปที่ตัวเขา”
เมื่อเห็นท่าทีครุ่นคิดของนางเจี่ยงเหวินเฟิงจึงถามว่า “แม่นางตัวฝูมีความเห็นอย่างไรหรือ”
ตัวฝูรีบส่ายหัว “ไม่มีเจ้าค่ะ! บางทีบ่าวอาจจะโง่เลยไม่เข้าใจอะไรมากมาย เลยไม่รู้ว่าจะตัดสินอย่างไรหากท่านราชครูเป็นฆาตกรจริงๆ”
“ไม่เข้าใจอะไรมากมายงั้นหรือ” เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจเขาตบหัวตนเองแล้วหัวเราะออกมา “ข้าคงมั่นใจในตนเองมากไปจริงๆ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไม่ชัดเจนตอนนี้จะสามารถแยกแยะได้อย่างไร ควรตรวจสอบหาความจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เขาให้กำลังใจตนเองแล้วพูดว่า “ทุกคน ข้าขอกลับไปจัดการกับคดีนี้ก่อน”
หมิงเวยทอดสายตามองตามไปหยางชูรีบพูดว่า “งั้นพวกเราไปด้วย ศิษย์พี่ ท่านว่าอย่างไร”
หนิงซิวส่ายหน้า “ถึงเวลาที่ข้าต้องพักผ่อนแล้ว”
“ได้” หนิงซิวเปลี่ยนตัวกับตัวฝู และทั้งสี่คนก็กลับไปที่เสวียนตูกวัน
เจี่ยงเหวินเฟิงพาพวกเขาไปที่เรือนที่เขาอาศัยอยู่ชั่วคราวเขาทำงานที่นี่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
“ใต้เท้า” เหลยหงเข้ามาต้อนรับเขา
“คำสารภาพว่าอย่างไร”
เหลยหงตอบกลับว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านราชครูกับอวี้หยางซับซ้อนมาก วันนี้พวกเราสอบถามคนใกล้ชิดของพวกเขาแล้ว และพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่นี่ขอรับ”
“อืม”
เหลยหงพูดว่า “จริงสิ เรื่องที่ใต้เท้าเปรียบเทียบกับอาวุธของเซียนอวี้หยาง ผลออกมาแล้วขอรับ จากคำสารภาพของคนใกล้ชิดเทียบภาพวาดกับบาดแผลบนร่างกายแล้วมีความกว้างเท่ากัน” พูดแล้วเขาก็ส่งภาพมาให้ดู
เจี่ยงเหวินเฟิงเปรียบเทียบทีละอันแล้วอ่านคำสารภาพ เรื่องนี้น่าเบื่อมากเพราะมีคำสารภาพหลายสิบฉบับ และเนื้อหาในนั้นล้วนมีแต่เรื่องไร้สาระ เจี่ยงเหวินเฟิงอ่านอย่างอดทนอ่านไปพลางเก็บข้อมูลที่จำเป็นไปด้วย
“ศิษย์น้องที่สนิทกับอวี้หยางได้ยืนยันว่าช่วงนี้เขาดูไม่ค่อยมีความสุขนัก สถานะของเขาตกต่ำลงจึงอารมณ์ไม่ดี และมีบ่นถึงท่านราชครู”
หมิงเวยพยักหน้า “เสวียนเฟย…อาศัยเรื่องจับป้ายหงส์กวาดล้างผู้เห็นต่างเจ้าค่ะ”
“ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อวันก่อน เดิมทีอวี้หยางรับผิดชอบด้านการเงินของเสวียนตูกวัน แต่ก็ถูกท่านราชครูปลดออก คำสารภาพของทั้งสามคนมีพูดถึงเรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์ว่าอวี้หยางเคยพูดว่าเสวียนเฟยจะต้องเจอดีแน่ และเมื่อคืนวานเขาก็ออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย”
หยางชูเงยหน้าขึ้น “เป็นไปได้หรือไม่ที่อวี้หยางไปหาเรื่องเสวียนเฟยจากนั้นก็ถูกเสวียนเฟยฆ่า”
หมิงเวยชี้ไปที่คำสารภาพ “ท่านดูตรงนี้เจ้าค่ะ อวี้หยางเคยบ่นว่าเขาคือผู้สืบทอดที่แท้จริงเพราะก่อนที่ราชครูซูสิงจะเสียท่านเคยบอกความลับอันยิ่งใหญ่ให้เขาฟังผู้เดียวความลับที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่จะรู้”
หยางชูรับมาดูเขาเปรียบเทียบคำสารภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายก็หัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าจะมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกภายในเสวียนตูกวัน! พี่ห้าของท่านบอกมาไม่ใช่หรือพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อของดูต่างหน้าของราชครูซูสิง ผู้ใดก็ตามที่ได้รับสิ่งนั้นจะกลายเป็นเสวียนชื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า เหตุผลที่พวกเขาเผชิญหน้ากันบนหอเหวินเต้าก็เพื่อสิ่งนั้น”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิด “หากเป็นเช่นนั้นอวี้หยางที่ออกไปเมื่อคืนอาจจะได้รับสิ่งนั้นแล้วคิดว่าจะได้รับชัยชนะผลคือเขาไปที่เจดีย์กงเต๋อ แต่ก็ถูกท่านราชครูฆ่า”
“พวกเราต้องตรวจสอบสองเรื่องเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “หนึ่ง เหตุใดอาวุธสังหารจึงหายไป สอง ค้นหาสิ่งของที่พวกเขาแย่งชิงกัน”
“อาจจะยากเสียหน่อย!” เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้ว “ท่านราชครูไม่พูดแล้วพวกเราจะหาได้จากที่ใดกัน”
“ข้าคิดว่าของสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่เสวียนเฟย” หยางชูออกความเห็น “ในเมื่ออาวุธสังหารหายไปของสิ่งนั้นก็หายไปด้วยไม่ใช่หรือ”
หมิงเวยยิ้มขึ้นมา “พวกเราอาจจะหาเจอแล้ว”