คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 531 ไฟไหม้
ภายใต้แสงสลัว หมิงเวยถือตะเกียงเดินกลับขึ้นไปชั้นบนสุดของเจดีย์กงเต๋อ
“การเชื่อมต่อระหว่างข้ากับเสวียนเฟยนั้นเบาบางมากมีเพียงสองครั้งเท่านั้นและทั้งหมดเกิดในสถานที่เดียวกัน” นางแขวนตะเกียงยืนข้างบันได และมองไปยังพื้นที่เล็กๆ บนชั้นบนสุด “ดังนั้นข้าคิดว่าที่นี่ต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดาแน่เจ้าค่ะ หากเสวียนเฟยมีความลับอะไรก็เป็นไปได้สูงที่จะเป็นที่นี่”
หยางชูตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ท่านหมายถึงกลไกหรือ”
“อาจเป็นช่องลับเจ้าค่ะ”
หยางชูยิ้ม “เรื่องนี้ข้าถนัด” พูดจบเขาก็เดินไปที่กำแพงม้วนแขนเสื้อขึ้นจากนั้นกวาดป้ายวิญญาณทั้งหมดไปที่มุมห้อง
โชคดีที่คนในเสวียนตูกวันไม่เห็นไม่อย่างนั้นหากเห็นภาพเขาทำกับเหล่าอาจารย์ปู่ของพวกเขาเช่นนี้คงอยากจะฆ่าให้ตาย
หยางชูไม่สนใจเขารวบป้ายวิญญาณทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันแล้วหยิบขึ้นมาดูทีละอัน หลังจากดูเสร็จก็ไปดูโต๊ะที่วางป้ายวิญญาณ และผนังโดยรอบ คานและเสาที่อยู่เหนือศีรษะ และสุดท้ายคือโต๊ะ
“เอ๋!” จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงเอื้อมมือไปใต้โต๊ะบูชา แล้วแยกออกเบาๆ จนได้ยินเสียง ‘กึก’ เบาๆ
“หาเจอแล้วหรือ” สีหน้าของหยางชูดูแปลกไปในตอนที่เขาแบมือออกก็พบกริชสั้นเล่มหนึ่งที่เปื้อนเลือด
เมื่อเห็นรูปแบบของมันเจี่ยงเหวินเฟิงรีบพูดขึ้นว่า “ให้ข้าดูหน่อย!”
เจี่ยงเหวินเฟิงเปรียบเทียบอย่างละเอียด และในที่สุดเขาก็พูดว่า “สิ่งนี้น่าจะเป็นอาวุธของอวี้หยาง และเป็นอาวุธที่สังหารเขา”
จากนั้นก็พึมพำ “น่าแปลก เหตุใดอาวุธสังหารถึงอยู่ที่นี่ซ่อนมันไว้ทำไมกัน”
หมิงเวยเดินไปที่โต๊ะบูชาเอื้อมมือออกไปคลำหาช่องที่ซ่อนอยู่แล้วพูดว่า
“เดิมทีที่นี่คงมีไว้วางของสิ่งอื่นเจ้าค่ะ”
หยางชูพูด “เป็นช่องที่ประณีตมากหากข้าไม่ได้เห็นรอยแตกนั่นคงหาไม่เจอ”
หมิงเวยเคาะโต๊ะแล้วพูดว่า “ข้ามีสมมุติฐานเจ้าค่ะ”
ทั้งสองมองมาที่นาง “สมบัติที่พวกเขาพูดถึงอาจถูกซ่อนไว้ที่นี่ อวี้หยางรู้เรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงแอบเข้าไปในเจดีย์กงเต๋อแล้วจู่ๆ ก็ได้ต่อสู้กับเสวียนเฟย ไม่แน่ว่าเขาอาจพบว่าเสวียนเฟยเองก็รู้เรื่องนี้แล้วส่วนของสิ่งนั้นอยู่ที่ใด มีแนวโน้มที่จะเป็นบุคคลที่สามที่เอามันไป ส่วนอาวุธสังหารคงใส่มันเข้าไปตอนที่หยิบของออกมา”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดตาม “ฟังดูสมเหตุสมผล แต่การคาดเดานี้ไม่มีหลักฐาน”
หยางชูกลับพูดว่า “ข้าคิดว่าอีกฝ่ายทำโดยเจตนา”
“เหตุใดถึงคิดเช่นนั้น”
“หากอาวุธสังหารหายไปคดีนี้ก็จะสรุปไม่ได้ง่ายๆ เสวียนเฟยก็จะถูกลงโทษ” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “อีกฝ่ายดูเหมือนต้องการถ่วงเวลา”
“จะถ่วงเวลาไปทำไมกัน” เจี่ยงเหวินเฟิงถามต่อ “หากสมมุติฐานของพวกท่านเป็นจริง เขาคงได้สมบัติไปแล้วเหตุใดต้องถ่วงเวลาด้วย”
“เรื่องนี้…” หยางชูไม่สามารถตอบได้
“พวกเรามาตั้งสมมุติฐานใหม่กันเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดต่อ “หากเสวียนเฟยไม่ได้โกหกเหตุใดเขาไม่พูดความจริงล่ะ ในตอนนั้นอวี้หยางเป็นฝ่ายลงมือก่อนเขาแค่ป้องกันตัวถึงแม้จะฆ่าอวี้หยางจริง แต่มันก็สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือ”
“ใช่ คนอย่างเสวียนเฟยสิ่งที่เขาสนใจมีไม่มาก” หยางชูลูบคาง “เขาให้ความสำคัญกับเสวียนตูกวัน และเคารพรักอาจารย์มากมีอย่างอื่นอีกหรือ”
“พวกเราเข้าใจได้เช่นนี้ที่เขาไม่พูดก็เพื่อถ่วงเวลาให้หลักฐานที่ขัดแย้งแก่พวกเราเพื่อที่เราจะสรุปความจริงไม่ได้” หมิงเวยยังคงคาดเดาต่อไป
ทั้งสามไม่สามารถเดาได้ เสียงเคาะไม้จากด้านนอกดังเข้ามาบ่งบอกว่าตอนนี้ยามสาม[1]แล้ว
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตอนนี้พวกเราเข้าสู่ทางตัน บางทีพรุ่งนี้อาจนึกอะไรใหม่ได้อีก”
“ได้…” พวกเขากลับไปล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็แยกย้ายกันพักผ่อน
หลังจากหลับไปไม่นานหมิงเวยก็ถูกปลุกโดยเสียงเคาะประตู “ท่าไม่ดีแล้ว! ไฟไหม้ๆ!”
นางสวมเสื้อผ้าทันทีหยางชูผลักประตู และเข้ามาด้วยสีหน้าดูไม่ได้ “เจดีย์กงเต๋อไฟไหม้”
“อะไรนะเจ้าคะ” หมิงเวยตกใจ “แล้วเสวียนเฟยกับอวี้หยางล่ะ”
“ไฟเริ่มต้นจากชั้นบนสุดไม่มีผู้บาดเจ็บ และร่างของอวี้หยางก็ถูกนำออกไปแล้ว”
หมิงเวยมัดเสื้อผ้า “รีบไปดูกันเจ้าค่ะ”
เจดีย์กงเต๋อสร้างจากไม้และหินไฟจึงลุกลามอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ออกมาจากเรือน พวกเขาเห็นเปลวไฟลุกโชนอยู่ไม่ไกล
เมื่อไปถึงหอเหวินเต้าก็พบว่าทั้งเจดีย์กงเต๋อปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ เจี่ยงเหวินเฟิงจัดกำลังคนเพื่อดับไฟ หมิงเวยกวาดสายตามองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึง “พวกเขาไม่ได้อยู่ที่หอเหวินเต้าหรือ มียอดฝีมือมากมายเหตุใดไฟถึงไหม้ได้เจ้าคะ” หยางชูเองก็ไม่ได้พูดอะไรไฟยังคงไหม้อยู่จนถึงรุ่งเช้า
ทั้งสามชั้นด้านบนถูกไฟไหม้ทั้งหมดตัวหอคอยอีกครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีดำมีควันลอยออกมา เหล่าคนที่ช่วยดับไฟตั้งแต่เมื่อคืนเหนื่อยมากจนทรุดตัวลงกับพื้น
หมิงเวยพบเสวียนเฟยท่ามกลางฝูงชน นางคว้าตัวเสวียนเฟยอย่างหยาบคายแล้วลากออกไปข้างนอก
มีคนเข้ามาห้าม “เดี๋ยว! ท่านจะทำอะไรน่ะ”
หยางชูยืนขวางหน้าพวกเขาแล้วตะโกนว่า “เป็นคำสั่งสืบคดีจากฝ่าบาท พวกท่านคิดจะขัดพระราชโองการหรือ” มีคนมากมายที่รู้จักเขาจึงไม่กล้าสร้างปัญหา
หมิงเวยลากเสวียนเฟยออกมานางเตะประตูห้องโถงแล้วโยนเขาลงบนพื้น
“ท่านยังไม่ยอมพูดอีกหรือ เจดีย์กงเต๋อไฟไหม้อีกฝ่ายอาจไม่ได้ต้องการชีวิตท่าน แต่สิ่งที่เขาทำลายคือรากฐานของเสวียนตูกวัน! ท่านไม่คิดว่าตนเองคือความหวังที่ได้รับสืบทอดจากอาจารย์หรือ หรือท่านจะมองดูผู้อื่นทำลายเสวียนตูกวันเช่นนี้กันเจ้าคะ” เสวียนเฟยขยับริมฝีปาก แต่ไม่พูดอะไร
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “ท่านจะยืดเยื้อไปทำไมกัน พวกเราจำลองเหตุการณ์ตามร่องรอยในที่เกิดเหตุ ตอนนั้นท่านประมือกับอวี้หยางท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฆ่า หรือว่าตอนนั้นผีเข้าสิงไม่สำเร็จหรือ”
ทันทีที่นางพูดจบดวงตาของเสวียนเฟยวาววับมีแววของความประหลาดใจ
หมิงเวยสังเกตเห็นจึงถามว่า “ไม่จริงน่ะ…ตอนนั้นท่านถูกคนควบคุมหรือเจ้าคะ”
เสวียนเฟยไม่ตอบและก้มหน้าลงอีกครั้ง หมิงเวยโกรธมากจนอยากจะเตะเขา แต่นางอดกลั้นไว้ได้
เมื่อสงบลงแล้วนางจึงพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านถึงทำตัวเช่นนี้ ทันทีที่ไฟไหม้ พวกเรารู้ว่ามีบุคคลที่สามท่านช่วยถ่วงเวลาให้เขาหรือเจ้าคะ” เสวียนเฟยยังคงปิดปากสนิท
หมิงเวยไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป หลังจากยืนอยู่นานนางก็ใช้ความพยายามครั้งสุดท้าย
“ท่านจำได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเราถึงบรรลุข้อตกลงกัน” นางคุกเข่าลงต่อหน้าเสวียนเฟยจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา “เพื่อแคว้นฉี เพื่อประชาชน เพื่อเจตนารมณ์ของอาจารย์ และเพื่อไม่ให้ใต้หล้าตกอยู่ในไฟของสงคราม
ตอนนี้ท่านลืมแล้วหรือ เสวียนเฟย…มองเข้าไปในดวงตาของข้าแล้วพูดมา ว่าท่านลืมไปแล้วหรือ สุดท้ายท่านเดินไปบนเส้นทางของคนทรยศเพื่อดาวมารงั้นหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปล่อยท่านไปเพราะข้าเชื่อในวิจารณญาณของตัวเอง เชื่อว่าท่านไม่ใช่คนเช่นนั้นตอนนี้ท่านจะทรยศต่อความไว้วางใจของข้า ทรยศต่อความไว้วางใจของอาจารย์งั้นหรือเจ้าคะ”
เมื่อฟังการหายใจอันหนักหน่วงของนางเสวียนเฟยค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น
เขารู้ตัวเสมอว่าสตรีผู้นี้อันตรายกว่าเขาไม่แน่ว่าวันหนึ่งผู้ที่กลายเป็นคนไม่ดีอาจเป็นนาง แต่จนถึงวันนี้ดวงตาของนางยังคงบริสุทธิ์
ส่วนผู้ที่กลายเป็นคนเลว คือเขา!
“ข้า…สมควรตาย” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
………………
[1] ยามสาม : 24.00 น. – 3.00 น.