คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 532 เปิดปากพูด
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เสวียนเฟยเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองมาก
ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาโต้เถียงกับอวี้หยางถึงจะเห็นว่านอกประเด็นก็ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้เคล็ดวิชาจะถูกหมิงเวยควบคุม แต่เขาไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายมีสิทธิ์เหนือกว่าตน เหตุผลที่พวกเ เขามารวมตัวกันก็เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังผู้ใด
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เสวียนเฟยพูดคำนี้ออกมา
หมิงเวยนั่งลงต่อหน้าเขา “พูดมาเถอะ! แม้ท่านจะไม่อยากร่วมมือกับพวกเราแล้ว อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลใช่หรือไม่ เพื่อประโยชน์ของท่านใต้เท้าเจี่ยงแทบจะอ่านคำให้การเกือบทั้งคืน ข้าเองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้จึงมาอาศัยที่เสวียนตูกวัน ท่านติดหนี้อธิบายพวกเราอยู่นะเจ้าคะ” เสวียนเฟยหลับตาลงเขายิ้มเยาะตนเอง
เขาพูดเสียงเบา “ในตอนที่แข่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักข้ายังคิดว่าอวี้หยางไม่เจียมตัว เห็นข้าไม่มีความทะเยอทะยานข้าคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่เป็นความจริง แต่วันก่อนข้าเพิ่งร รู้ว่ามันคือความจริง อาจารย์…ตั้งใจส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา”
หมิงเวยตกใจ “เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ พวกท่านสองคนไม่ว่าจะเป็นทักษะเคล็ดวิชา หรือความสามารถล้วนต่างกันมาก”
ถึงแม้นางจะรังแกเสวียนเฟย แต่ตามจริงแล้วหมิงเวยรู้ว่าที่ตนเองได้เปรียบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะรากฐานที่วางไว้ในชีวิตก่อนของนางคงปราบปรามเสวียนเฟยไม่ง่ายเช่นนี้ แต่อวี้หยาง งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย
เสวียนตูกวันไม่ได้เป็นเพียงสำนักเท่านั้น แต่ยังต้องแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องโชคชะตาของแผ่นดินด้วย ความสามารถของอวี้หยางยังห่างชั้นเกินไป
“ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่จู่ๆ อาจารย์ตัดสินใจจากไปอย่างสงบนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าอย่างมากจะบอกว่าข้าทำร้ายอาจารย์ก็ไม่ผิดนัก”
คำพูดนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ในตอนที่ราชครูซูสิงนั่งจากไปอย่างสงบ เสวียนเฟยยังคงท่องยุทธภพอยู่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขากัน
หมิงเวยถามว่า “ท่านหมายถึง การตายของราชครูซูสิงเกิดจากฝีมือมนุษย์งั้นหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ท่านอาจารย์ตายเพื่อปกป้องข้า”
หมิงเวยเลิกคิ้วนางจับประเด็นสำคัญจากคำพูดเขา “เป็นศัตรูของเสวียนตูกวันที่ฆ่าเขาหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ศัตรูของเสวียนตูกวัน”
“แล้วเป็นผู้ใดกัน” เสวียนเฟยไม่ตอบ
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ “ท่านจะบอกครึ่งปิดครึ่งอย่างนั้นหรือ ทำเช่นนี้ต้องการสื่ออะไรเจ้าคะ ข้าคิดว่าเมื่อเราบรรลุข้อตกลงร่วมกัน พวกเราต้องมองอีกฝ่ายเป็นสหาย จะลำบาก กหรือเสี่ยงก็ช่างอย่างน้อยก็พูดอย่างตรงไปตรงมาเถอะเจ้าค่ะ หรืออยากจะยกเลิกก็ย่อมได้ แต่ต้องให้เหตุผลที่ถูกต้องก่อนแล้วข้าจะออกจากเสวียนตูกวันทันทีแล้วจะไม่สนใจท่านอี กเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเสวียนเฟยไหววูบเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พูดต่อ
“ท่านเดาถูกแล้วมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นี่คนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับข้า ไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ใช่มิตรเช่นกัน แน่นอนว่าสำหรับพวกท่านแล้วพวกเขาเป็นศัตรู ตอนนี้ข ข้าสับสนมากจนไม่รู้จะทำอย่างไร”
หมิงเวยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
“ท่านรู้อะไร”
“เข้าใจเรื่องบางอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน” นางพูดออกไปแค่นั้นแล้วถามว่า “แล้วอวี้หยางตายอย่างไรเจ้าคะ เกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่”
ครั้งนี้เสวียนเฟยตอบว่า “เขาเป็นผู้ที่จู่โจมทันทีข้าไม่ได้อยากฆ่าเขา แต่…การตายของเขาข้าต้องรับผิดชอบ”
“กริชเล่มนั้นท่านเป็นคนแทงใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นร่างกายของท่าน” เสวียนเฟยเงียบและไม่ปฏิเสธ
หมิงเวยรู้อยู่แก่ใจ “ตอนนั้นท่านสูญเสียการควบคุมตนเองใช่หรือไม่เจ้าคะ ในเจดีย์กงเต๋อมีบุคคลที่สามควบคุมท่านถูกหรือไม่” เสวียนเฟยยังคงเงียบต่อไป
หมิงเวยหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามคำถามที่สำคัญที่สุด “สิ่งที่ท่านและอวี้หยางต้องการแย่งชิงใช่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในช่องลับใต้โต๊ะบูชาหรือไม่ ของสิ่งนั้นถูกบุคคลที่สามเอาไปหรือเจ้ าคะ”
“เปล่า” เสวียนเฟยหลับตา และตอบอย่างเหม่อลอย “ของสิ่งนั้นหายไปตั้งนานแล้ว…”
หมิงเวยตกใจ “ที่ท่านพูดครั้งก่อน บุรุษชุดครามหรือ” เสวียนเฟยไม่ตอบ
หมิงเวยทวนเรื่องราวในสมองอีกครั้งแล้วใคร่ครวญว่า “ข้อมูลอื่นท่านคงไม่พูดออกมาอีกแล้วใช่หรือไม่ คนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่าน ตอนนี้ท่านเลยไม่รู้ว่าควรยืนอยู่ ฝ่ายไหนดีถึงได้รู้สึกขัดแย้งเช่นนี้ ช่วยพวกเขาถ่วงเวลา แต่ก็ช่วยพวกเราค้นหาความจริงด้วย” เสวียนเฟยหลับตาลงและไม่พูดอะไร
หมิงเวยไม่ต้องการบังคับเขา และข้ามคำถามนี้ไป “บุคคลนั้นซ่อนอาวุธสังหาร และไม่ต้องการให้คดีคลี่คลายโดยเร็ว ซึ่งหมายถึงการถ่วงเวลาด้วย และการเผาเจดีย์กงเต๋อเพราะมีเบาะแส สหลงเหลืออยู่ และกลัวพวกเราพบมัน พวกเขาคิดจะทำอะไรบางอย่างใช่หรือไม่ คืนวันนั้นพวกเขาได้ความคืบหน้าที่สำคัญไปใช่หรือไม่”
เสวียนเฟยเงียบไปเป็นเวลานาน และในที่สุดก็พูดสามคำ “หอดูดาว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เสวียนเฟยไม่คิดเปิดเผยข้อมูลอะไรอีก หมิงเวยถามอีกหลายคำถาม แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้
…………
“เป็นอย่างไรบ้าง” หยางชูที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกถาม
หมิงเวยเดินไปทางหอดูดาวพลางเล่าบทสนทนาของทั้งสองให้หยางชูฟัง
จากนั้นก็พูดว่า “ตอนนี้ข้าพอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสวียนเฟยถึงกลายเป็นดาวมารเกรงว่าจะมีอะไรผิดปกติกับตัวตนที่แท้จริงของเขาเจ้าค่ะ”
“ตัวตนที่แท้จริงงั้นหรือ” หยางชูงงงวย
“เจ้าค่ะ ท่านลองคิดดูเขาติดตามราชครูซูสิงตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากเสวียนตูกวันแล้วผู้ใดจะมีอิทธิพลต่อตำแหน่งของเขาอีก เว้นเสียแต่ว่าเขาเลือกสถานะไม่ได้ เขายังบอกอีกว่าราช ชครูซูสิงตายเพื่อปกป้องเขา หมายความว่ามีหนึ่งในคนพวกนั้นลงมือสังหารอาจารย์ ปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่การแก้แค้นตรงกันข้ามเขายังถ่วงเวลาเพื่อช่วยคนพวกนั้นด้วย”
หยางชูบีบคางพลางจับประเด็นของเรื่องนี้ “ราชครูซูสิงตัดสินใจให้เสวียนเฟยสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักมานานแล้ว เหตุที่มาผิดคำพูดตอนใกล้ตายอาจเป็นเพราะคนพวกนั้นมาหาถึงที่จึงค คิดว่าเสวียนเฟยไม่สามารถพึ่งพาได้”
“ศิษย์สายตรง มีหรือที่หากปลูกฝังก็สามารถปลูกฝังได้เลย” หมิงเวยถอนหายใจ “ไม่ว่าด้านไหนอวี้หยางยังห่างไกลจากเสวียนเฟยทุกด้านการตัดสินใจนี้ของราชครูซูสิงคงไม่มีทางเลือก กเจ้าค่ะ”
“สถานะปัจจุบันของเสวียนเฟยแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจของราชครูซูสิงในตอนนั้นถูกต้อง หลายปีมานี้พวกเรามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา และเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นเขายังรู้สึกสับสน ไม่รู้จะช่วยเหลือผู้ใด จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีพวกเราเสวียนเฟยต้องไปหาฝั่งนั้นแน่นอน”
“ใช่” ทั้งสองคุยกันจนเดินทางมาถึงหอดูดาว
หยางชูวนไปรอบๆ และพบว่าไม่มีปัญหาจึงถามด้วยความสงสัย “ดีจริงๆ! เขาคงไม่ช่วยอีกฝ่ายทำลายความสนใจของพวกเราใช่หรือไม่” แววตาของหมิงเวยดูมั่นใจ
“ไม่เจ้าค่ะ” นางพึมพำ “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดพวกเขาถึงเผาเจดีย์กงเต๋อ”
“ทำไมหรือ”
“กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]” นางเดินไปที่หอดูดาวช้าๆ และหมุนตำแหน่งดาวบนเสาหินสี่มุมทีละอัน หยางชูเห็นว่าในใจกลางของหอดูดาว จู่ๆ ก็มีแผ่นหินเลื่อนเปิดออกเผย ยให้เห็นช่องเล็กๆ ที่ยุบลงไป
เขาแปลกใจมาก “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีกลไกซ่อนอยู่ในนี้”
“เพราะนี่เป็นการไขปริศนาที่ข้าเล่นมาตั้งแต่เด็ก” หมิงเวยจ้องไปที่ช่องที่ยุบลงไปแล้วพูดเสียงเบา “ข้ารู้แล้วว่าพวกเขากำลังมองหาอะไร”
……………
[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม : การโจมตีศัตรู จะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูตั้งรับได้ถูก โดยหลอกล่อศัตรูให้ เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง เกิดการหละหลวมต่อกำลังทหารและเปิดโอกาสให้สามารถเอาชนะได้โดยง่าย