คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 533 วางแผน
หนิงซิวถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วนเมื่อเห็นหมิงเวย และหยางชูอยู่ในศาลาของหอดูดาวเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “มีอะไรก็รีบพูดมา ข้าออกมานานไม่ได้”
เขายังไขปริศนาที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ไม่ได้จึงรู้สึกไม่สบายใจ
หมิงเวยกลับพูดว่า “อาจารย์ ทิ้งปริศนานั้นไว้ก่อนเจ้าค่ะ เรามีเรื่องสำคัญกว่านั้น”
หนิงซิวทำหน้าสงสัยอะไรจะสำคัญไปกว่าปริศนาของท่านอาจารย์
“แม้ว่าบ้านของท่านจะถูกไฟไหม้ ผู้อื่นไขปริศนาได้ สมบัติถูกผู้อื่นแย่งไป ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งนี้ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้นถึงจะคุ้มค่า”
นางพูดจนหนิงซิวตกใจ “ตกลงคืออะไรกันแน่”
หมิงเวยมองไปที่หอดูดาว และพูดออกมาว่า “การสืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตเจ้าค่ะ”
หนิงซิวตกใจ “…ท่านหมายถึงการสืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตที่สูญหายไปงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเบา “เพราะว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นก็จะทำให้การสืบทอดตัดขาดได้ง่ายดังนั้นผู้ก่อตั้งปรมาจารย์แห่งชีวิ ตจึงนำมรดกสืบทอดวางไว้ในป้ายสะกดวิญญาณ
หากเขาเกิดเสียชีวิตกะทันหันคนรุ่นต่อไปสามารถนำออกจากป้ายสะกดวิญญาณ และสืบสานต่อได้ แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนปรมาจารย์แห่งชีวิตรุ่นหนึ่งถูกคนละโมบขโมยป้ายสะกดวิญญาณไป ลูกศิษย์ของเขาจึงไม่สามารถจบการศึกษาได้ ตั้งแต่นั้นมาการสืบทอดจึงถูกตัดขาดไปเจ้าค่ะ”
“ผู้ที่ได้รับป้ายสะกดวิญญาณคือบรรพบุรุษของเสวียนตูกวัน แต่พวกเขาไม่รู้ความลับของป้ายสะกดวิญญาณ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงอาวุธวิเศษจึงต้องการครอบครองไว้เป็นของตน น่าเ เสียดายที่พวกเขาไม่รู้วิธีควบคุมป้ายสะกดวิญญาณจึงถูกโจมตีสะท้อนกลับ
พวกเขาทำได้แค่สะกดมันไว้ใต้หอดูดาวใช้พลังของดวงดาวฝังไว้ในส่วนลึก ร้อยปีมานี้มีเพียงเจ้าสำนักของเสวียนตูกวันเท่านั้นที่รู้ความลับนี้จนถึงรุ่นของเสวียนเฟยพวกเขาไม่ร รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ”
นางมองหนิงซิว “นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้สูญเสียป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต อาจารย์จะพบเบาะแสในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้วกลับไปท ที่เสวียนตูกวันอีกครั้ง และนำป้ายสะกดวิญญาณกลับคืนมาจากพวกเขาเพื่อสืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตต่อไป ดังนั้นไม่ว่าเรื่องจะใหญ่เพียงใดไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้เจ้าค่ะ อีกไม่นานท่า านจะนำกลับคืนมาด้วยตนเองสายของพวกเราจะกลับสู่สภาพเดิมในที่สุด”
หนิงซิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าหรือ”
ปกติเขามักจะมีท่าทางที่สูงส่ง และหายากที่จะมีท่าทางเช่นนี้ หากอยู่ในสถานการณ์ปกติหยางชูคงหัวเราะเขาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น
“ใช่ เป็นท่านเจ้าค่ะ!”
หากไม่สามารถพบอาจารย์ปู่ได้ หมิงเวยก็คิดว่าจะนำป้ายคุ้มกันกลับคืนมาด้วยตนเองแล้วจึงค่อยหาวิธีส่งต่อไปยังสำนักของตน แต่ตอนนี้นางแน่ใจแล้วว่าหนิงซิวคืออาจารย์ปู่ เช่ นนั้นป้ายคุ้มกันนี้ต้องส่งต่อถึงมือเขา
นางที่ไร้ชีวิตไม่รู้ว่าสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อีกนานเพียงใด พยายามเดินตามเส้นทางเดิมจะปลอดภัยกว่า
“ท่านเตรียมตัวให้ดีเจ้าค่ะ เหตุผลที่ป้ายสะกดวิญญาณถูกเรียกว่าสะกดวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะวิญญาณอสูรที่ทรงพลังจำนวนมากถูกสะกดอยู่ในนั้น ของสิ่งนี้เป็นอันตราย แ และไร้ประโยชน์สำหรับคนธรรมดา หากเสวียนชื่อมีพลังไม่แข็งแกร่งพออาจถูกทำร้ายเอาได้ ดังนั้นปรมาจารย์แห่งชีวิตอย่างพวกเราแต่ละรุ่นจึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
ในช่วงเวลาที่พวกเราได้เป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตต้องใช้พลังของตนเองในการปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย ตัวท่านในอดีตนั้นหลังได้รับป้ายสะกดวิญญาณก็มีชีวิตอยู่ได้ประมาณสิบปี แต่ ครั้งนี้มีข้าอยู่ด้วยพวกเราเตรียมตัวมาอย่างดีพร้อมที่จะใช้พลังของวิญญาณชั่วร้ายในป้ายสะกดวิญญาณเช่นนั้นจะทำให้ท่านมีอายุยืนยาวขึ้นเจ้าค่ะ”
นางพูดออกมาเสียยาวโดยไม่หยุดแม้แต่น้อยหนิงซิวใช้เวลาพอสมควรในการทำความเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร “นี่มันอะไรกัน พวกเราไม่ต้องตรวจสอบเสวียนเฟยหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงพบเรื่องน นี้”
“เป็นเพราะเสวียนเฟย!” หยางชูเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วยกแขนพาดไหล่เขา “บุรุษชุดครามผู้นั้นมาที่นี่เพื่อรับป้ายสะกดวิญญาณเมื่อวานเขาจุดไฟเผาเจดีย์ กงเต๋อเพื่อม มาตรวจสอบที่หอดูดาว เขาแน่ใจแล้วว่าป้ายสะกดวิญญาณอยู่ที่นี่ และตอนนี้น่าจะกำลังเตรียมตัวอยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เพียงแต่ได้ป้ายสะกดวิญญาณ แต ต่ยังจับบุรุษชุดครามได้อีกด้วยขอเพียงจับเขาได้ก็จะสลัดการถูกสงสัยให้พ้นตัวได้แล้วยังรู้ว่าศัตรูของพวกเราคือผู้ใด!”
หนิงซิวทำความเข้าใจ “ของที่เสวียนเฟยทำหายไปเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดมันใช่หรือไม่”
“น่าจะใช่”
หนิงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “นี่เป็นเรื่องยากกุญแจอยู่ในมือของบุรุษชุดครามแล้วเขาก็มีพลังมากด้วย ไม่แน่ว่าอาจมีผู้ช่วยซึ่งยากต่อการจัดการ หากจะขุดหลุมให้ เขากระโดดลงไปแล้วจะจัดการกับคนในเสวียนตูกวันอย่างไร หอดูดาวเป็นสถานที่ของพวกเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งด้วย”
หรือจะพูดว่าพวกเขาจะสามารถขโมยป้ายสะกดวิญญาณออกมาได้หรือ
ในเมื่อในประวัติศาสตร์ของหมิงเวยเขาบุกเข้าไปขโมยป้ายสะกดวิญญาณออกมาเห็นได้ชัดว่าเสวียนตูกวันให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
หมิงเวยยิ้ม “จะไปยากอะไรพวกเรามีเหตุผลในการใช้กำลังของผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือไม่ใช่หรือ”
……………
เหตุผลที่ว่านั่นหมายถึงพระราชโองการ…พวกเขาเชิญเจี่ยงเหวินเฟิงมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว “ข้ามีพระราชโองการอยู่ในมือและสามารถช่วยพวกท่านได้ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องการชี้แจงให้พวกท่านทราบก่อน”
“ว่าอย่างไร”
“พลังของบุรุษชุดครามผู้นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกท่านหรือ ประมาณเท่าไร”
หมิงเวยที่เคยต่อสู้กับเขาแบบตัวต่อตัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากในด้านเคล็ดวิชาอย่างน้อยข้าสามารถสู้กับเขาได้อย่างสูสี”
หยางชูรีบพูดต่อทันทีว่า “ในด้านวรยุทธ์ข้าไม่กลัวเขา ทักษะของศิษย์พี่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเขานิดหน่อย”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “เช่นนั้นแม้คนผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือ แต่เขาไม่สามารถเอาชนะพวกท่านได้ แล้วเหตุใดเขาถึงมาเสวียนตูกวัน และจากไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ข้าเกรงว่าเขาจะซ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเสวียนชื่อในเสวียนตูกวัน”
พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเจี่ยงเหวินเฟิง
ข้อสรุปนี้พวกเขาเคยสันนิษฐานไว้เมื่อตอนที่เสวียนเฟยถูกโจมตี เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เข้าใจเคล็ดวิชาครั้งแรกที่เขาพบประเด็นนี้จึงคิดลึกแล้วก็ระมัดระวังตัวมาก
“ลองนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เขาอาจจะไม่เพียงซ่อนตัวในเสวียนตูกวัน แต่ยังมีสถานะที่ดีอีกด้วย จะเกิดอะไรขึ้นหากตัวตนของเขายุยงเสวียนตูกวันให้เป็นศัตรูกับพวก ท่านล่ะ แม้ข้าจะมีพระราชโองการก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนฝ่าบาทได้อย่างเต็มที่ เสวียนตูกวันเป็นที่ชื่นชอบของฝ่าบาทมาก และมีสิทธิ์ตัดสินใจได้ชั่วคราว”
พวกเขาละเลยข้อนี้ไปจริงๆ หมิงเวยขอคำปรึกษาอย่างนอบน้อม “ตามความเห็นของท่าน พวกเราควรจัดการอย่างไรดีเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตามความเห็นของข้าเป็นการดีกว่าที่จะกวนน้ำโคลนนี้เข้าไปด้วย ให้เสวียนตูกวันเข้าร่วมไปด้วยกัน”
หมิงเวยตกตะลึงครู่หนึ่งไตร่ตรองคำพูดของเขาอย่างรอบคอบ
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “หากพวกท่านเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแล้วอีกฝ่ายหนึ่งมาเพื่อชิงสมบัติ พวกท่านก็จะเผชิญหน้ากันโดยตรง เมื่อถึงตอนนั้นเสวียนตูกวันสามารถเลือก ที่จะยืนเคียงข้างพวกท่าน และเลือกที่จะชิงสมบัติกลับมา แต่หากเป็นเสวียนตูกวันที่ปกป้องหอดูดาวอย่างเข้มงวด และเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพื่อปกป้องสมบัติของพวกเขาเองพวกท่าน ก็จะมีช่องว่างที่มากขึ้นไม่ใช่หรือ”
“นั่น…”
หยางชูปรบมือ “เป็นความคิดที่ดีหากเป็นเช่นนั้นกองกำลังหลักที่ต่อต้านบุรุษชุดครามคือเสวียนตูกวัน ส่วนพวกเราอาศัยช่วงจังหวะนี้คอยตามน้ำไปให้พวกเขากลายมาเป็นพวกเดียวกัน กับพวกเราด้วย ท่านบอกว่ามีวิญญาณอสูรอยู่ในป้ายสะกดวิญญาณไม่ใช่หรือ การกำเนิดของสิ่งนี้จะต้องถูกสะกดด้วยเสวียนชื่อเหตุใดไม่ให้เสวียนตูกวันเป็นผู้นำรบเสียเลยล่ะ”