คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 534 รอ
เมื่อลงจากหอดูดาวเจี่ยงเหวินเฟิงสั่งให้เจ้าหน้าที่เชิญเหล่าผู้อาวุโสของเสวียนตูกวันมา เจี่ยงเหวินเฟิงได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ฉะนั้นยังต้องรักษาพระพักตร์ให้ฮ่องเต้
ในการเผชิญหน้ากันนั้นทั้งสองฝ่ายได้เลือกผู้อาวุโสที่มีคุณธรรม และบารมีสูงส่งหลายคนให้มาฟังสิ่งที่เขาพูด หวังว่าคงไม่ได้ผลักความรับผิดชอบเรื่องที่เจดีย์กงเต๋อไฟไหม้เมื่ อคืนมาไว้ที่ตนหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการโต้เถียงกันต่อหน้าฮ่องเต้
แต่เจี่ยงเหวินเฟิงกลับพูดว่า “เซียนทุกท่าน มาถึงจุดนี้แล้วพวกท่านพูดความจริงมาเถอะ ข้อพิพาทระหว่างท่านราชครู และอวี้หยางคือเรื่องของดูต่างหน้าของราชครูซูสิงใช่หรือไม่”
เหล่าผู้อาวุโสชำเลืองมองเป็นผู้อาวุโสอี้ตอบแทนพวกเขาว่า “ใต้เท้าเจี่ยง ก่อนหน้านี้พวกเราพูดไปหมดแล้ว อวี้หยางออกไปข้างนอกในตอนกลางคืนเขาทะเลาะกับเสวียนเฟยซึ่งพวกเราไม่ได ด้เห็นด้วยตาตนเอง”
เจี่ยงเหวินเฟิงจ้องมาที่เขาครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ทำไมผู้อาวุโสอี้ไม่คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดเล่า นั่นไม่ใช่วันแรกที่พวกเขาสองคนทะเลาะกัน พวกท่านในฐานะที่เป็นผู้อาว วุโสที่ดูแลกิจต่างๆ ในเสวียนตูกวันไม่ถึงกับไม่รู้เลยไม่ใช่หรือ”
คำพูดของเขาราวกับว่าเขารู้เรื่องราวภายในซึ่งทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่ได้ยินถึงกับใจเต้น
ผู้อาวุโสล่ายซึ่งเดิมทีเป็นคนฝั่งอวี้หยางเนื่องจากเสวียนเฟยต้องการกำจัดผู้เห็นต่าง ช่วงนี้เขาเลยโดนจับผิดด้วยจึงเสียตำแหน่งผู้ดูแลไป เมื่อเห็นว่าอวี้หยางตายแล้วเขาจึ งต้องการพลิกสถานการณ์ และหาผู้สนับสนุนคนใหม่พูดถึงการหนุนหลังผู้ใดจะดีไปกว่าฮ่องเต้กัน ใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้ใครๆ ก็รู้ว่าเขาได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้หากช่วยเขาบรรลุผ ผลได้…
เขาพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าเจี่ยงข้าได้ยินข่าวลือหนึ่ง”
“อ้อ” เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นผู้อาวุโสโปรดชี้แจงด้วย”
ผู้อาวุโสล่ายตัดสินใจแล้วจึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้อวี้หยางเปิดเผยว่าอดีตเจ้าสำนักมีของดูต่างหน้าชิ้นหนึ่งซึ่งเขาเอามาไม่ทันจึงไปตกอยู่ในมือของเสวียนเฟย จากที่เขาเล่ามา… …ของชิ้นนี้มีความเกี่ยวข้องกับความลับอันยิ่งใหญ่ที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่รู้ ผู้ใดก็ตามที่ได้มันไปจะก้าวหน้าขึ้นมาในชั่วพริบตากลายเป็นเสวียนชื่อที่เก่งที่สุด…”
“ศิษย์น้องล่าย!”
“ศิษย์พี่ล่าย!” ผู้อาวุโสหลายคนรีบร้องห้ามเขา
แต่ผู้อาวุโสล่ายเพียงแค่เหลือบมองพวกเขาและพูดต่อ “อวี้หยางเสียชีวิตในเจดีย์กงเต๋อ ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ แต่เพราะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองจึงพูดยาก”
เขาเหลือบมองเหล่าผู้อาวุโสที่มีสีหน้าโกรธจัด อย่างไรของสิ่งนั้นตนเองไม่มีทางได้มาอยู่แล้วพูดออกไปแล้วจะทำไมกัน ใต้เท้าเจี่ยงไม่ใช่คนในเสวียนเหมิน เขาไม่โลภอยากได้ของสิ่ งนี้หรอก
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าช้าๆ “เช่นนั้นหมายความว่าสิ่งที่ข้าเพิ่งตรวจสอบพบเป็นเรื่องจริง”
เหล่าผู้อาวุโสตกใจผู้อาวุโสอี้รีบถามว่า “ใต้เท้าเจี่ยง ท่านตรวจสอบพบอะไรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “จากการตรวจสอบพวกเราแน่ใจว่าในระหว่างที่ท่านราชครู และอวี้หยางต่อสู้กันอยู่มีบุคคลที่สามอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเหล่าผู้อาวุโสเขาก็ค่อยๆ พูดต่อไปว่า “คนผู้นี้มีแนวโน้มสูงที่จะนำหลักฐานที่สำคัญที่สุดไปซึ่งเป็นของดูต่างหน้าที่พวกเขาต่อสู้แย่งช ชิงกันอยู่นั่นเอง”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ผู้อาวุโสอี้รีบถามกลับทันทีว่า “จริงหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ข้าใช้อารมณ์เพื่อจูงใจผู้อื่น และให้เหตุผลเพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจในที่สุดท่านราชครูก็พูดออกมาสามคำ”
“คำว่าอะไรหรือ”
“หอดูดาว”
ผู้อาวุโสอี้รู้สึกประหม่า “เมื่อครู่ใต้เท้าไปหอดูดาวมาพบอะไรบ้างหรือขอรับ”
“ไม่ต้องรีบร้อน” เจี่ยงเหวินเฟิงปลอบ “มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย”
เขาพูดว่า “ข่าวร้ายคืออีกฝ่ายค้นพบหอดูดาวแล้วจึงจุดไฟเมื่อคืนเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกท่าน ข่าวดีคือพวกเขายังไม่มีเวลาไปเอาของสิ่งนั้น”
ผู้อาวุโสอี้ทั้งดีใจและกังวล “ใต้เท้าจะบอกว่าของสิ่งนั้นยังอยู่ในเสวียนตูกวันหรือ”
“ใช่” เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “สิ่งที่เขาได้ไปคือกุญแจ ส่วนสมบัติที่แท้จริงยังคงซ่อนอยู่ในเสวียนตูกวันซึ่งก็คือที่หอดูดาวแน่นอน ในเมื่อเมื่อคืนนี้อีกฝ่ายตรวจสอบเรียบร้อย ยแล้วคิดว่าอีกไม่นานคงกลับมาเอาของสิ่งนั้น”
เขายกมือประสานกัน “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายหากท่านจับคนผู้นี้ได้ คดีนี้ก็จะคลี่คลาย ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ทักษะยังห่างไกลจากพวกท่านโปรดให้ความช่วยเหลือด้วย”
ผู้อาวุโสอี้ให้คำมั่นสัญญา “ใต้เท้าเจี่ยงเกรงใจไปแล้วนี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา สิ่งที่คนผู้นั้นต้องการคือของในเสวียนตูกวัน แน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางอยู่เฉยได้”
ผู้อาวุโสล่ายเองก็พูดอีกคนว่า “ท่านวางใจเถอะพวกเราจะช่วยท่านจับคนผู้นี้ให้ได้” ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็รับปากเป็นมั่นเหมาะและเริ่มวางแผนในใจ
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดว่า “คดีนี้ค่อนข้างแปลกดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องของเสวียนตูกวันเป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าอาจมีแหล่งข้อมูลอื่นช่วงนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าเพิ่งพูดเรื่อง งราวภายใน และทำการแอบซุ่มโจมตีจะดีกว่า พวกท่านเห็นว่าอย่างไร”
ไม่มีผู้อาวุโสคนใดคัดค้านเจี่ยงเหวินเฟิงจึงพูดคุยกับพวกเขาถึงวิธีซุ่มโจมตีดังกล่าว
…………..
ผู้อาวุโสหลายคนกลับไปตั้งกลุ่มลาดตระเวนในบริเวณที่เจดีย์กงเต๋อที่ถูกไฟไหม้ นอกจากนี้ยังแบ่งคนออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเองไปตามสถานที่สำคัญหลายแห่งในเสวียนตูกวั นอย่างตำหนักเก็บพระสูตรและหอดูดาว
ในช่วงเวลาหนึ่งบรรยากาศภายในเสวียนตูกวันกำลังตึงเครียด
หมิงเวยเองก็อยู่ที่หอดูดาวนางใช้นิ้วคำนวณตำแหน่งไปพลางติดธงขนาดเล็กที่แผนที่ค่ายกลในแต่ละด้านไว้รอบๆ หอดูดาว
“ท่านกำลังวางค่ายกลอยู่หรือ” หลังจากที่อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานหยางชูเริ่มคุ้นเคยกับรูปแบบค่ายกลนี้
“เจ้าค่ะ” หลังจัดเสร็จก็ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
“ค่ายกลนี้มีไว้สำหรับยับยั้งปีศาจหากบุรุษชุดครามพบก็จะเข้าใจว่าพวกเรารู้แล้วว่าป้ายสะกดวิญญาณอยู่ที่นี่แล้ว”
“เช่นนั้นเขาจะติดกับพวกเราใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” หมิงเวยยืนยัน “ใต้หล้านี้มีปรมาจารย์แห่งชีวิตเพียงคนเดียว หากเขาคิดว่าตนเองใช่ก็ต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อน ดังนั้นแม้เขาจะรู้ว่านี่คือกับดักเขาก็จะมา หากเอ อาป้ายสะกดวิญญาณไปจากมือข้าได้ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต”
ในวันที่ถูกเขาโจมตีที่สระฉางเล่อหลังจากนั้นหมิงเวยเก็บเรื่องนี้มาคิดอย่างหนัก
อันที่จริงบุรุษชุดครามไม่ได้คิดจะฆ่านางความแข็งแกร่งทางกายภาพของนางอ่อนแอเกินกว่าจะไปถึงจุดสูงสุด หากเขาจะฆ่าจริงๆ ในตอนที่ใช้เคล็ดวิชากักขังนางเขาสามารถฆ่านางได้โดยตรงเ เลย
วิธีการต่างๆ ของเขาในตอนนั้นเหมือนการหยั่งเชิงเสียมากกว่าเขาต้องการหยั่งเชิงว่าเคล็ดวิชาของนางหากเปรียบเทียบกับเขาแล้วแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นหมิงเวยจึงมั่นใจได้ว่าเข ขามีความคิดเช่นนั้นในใจ เอาชนะนางด้วยเคล็ดวิชาแล้วกลายเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตอย่างสมน้ำสมเนื้อ
นางตั้งค่ายกลนี้ไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายในป้ายสะกดวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นการปักธงสมรภูมิกับเขาด้วย
ข้าอยู่ที่นี่ข้ารู้ว่าท่านต้องการป้ายสะกดวิญญาณจะมาไม่มาเล่า
สำหรับบุรุษชุดครามแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด หากสามารถเอาชนะนางได้ก็สามารถชิงป้ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตซึ่งมีความหมายอย่างมากต่อทั้งสองคนไปได้ด้วย
นี่เป็นการต่อสู้เพื่อตำแหน่งปรมาจารย์แห่งชีวิตเขาจะต้องมาแน่
……………
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็นผ่านไปหนึ่งวัน
ในยามราตรีมีเงาคนสองคนปรากฏขึ้นบนยอดเขาซึ่งห่างไกลจากเสวียนตูกวัน
ถ้าหมิงเวยและคนอื่นอยู่ที่นี่จะต้องจำพวกเขาสองคนได้แน่นอน ซูรื่อฉู่และนักพรตหญิงนามชิงหลินผู้ซึ่งโจมตีพวกเขาระหว่างกลับเมืองหลวง
“เตรียมต่อสู้!” ซูรื่อฉู่พึมพำ “พวกเราต้องเสี่ยงขนาดนั้นเลยหรือ”
ชิงหลินสะบัดแส้ขนหางจามรีแล้วพูดอย่างเย็นชา “คำสั่งจากกลุ่มดาวกล้าไม่ฟังหรือ”