คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 535 มาแล้ว
ยามค่ำ หมิงเวยนั่งตรงหน้าเสวียนเฟย และพูดกับเขาว่า “พวกเราพบกลไกที่หอดูดาวซึ่งน่าจะเป็นความลับเบื้องหลังของดูต่างหน้าของอาจารย์ท่านเจ้าค่ะ” เสวียนเฟยหลุบตาลง และ ถอนหายใจเล็กน้อย
หมิงเวยมองมาที่เขาแล้วพูดเสียงเบา “บางทีท่านอาจไม่รู้ว่าที่จริงแล้วของสิ่งนั้นเป็นของสำนักข้าเป็นมรดกสืบทอดที่สำคัญที่สุด” เสวียนเฟยเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใ ใจ
หมิงเวยพูดต่อว่า “ท่านอยากรู้ที่มาของข้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ บางทีท่านอาจคาดเดาไว้ในใจอยู่แล้ว แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันได้”
เสวียนเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านคือผู้ใด แต่แน่ใจว่าท่านไม่ใช่คุณหนูเจ็ดจากตระกูลหมิง ข้าเคยส่งคนไปตรวจสอบที่ตงหนิงคุณหนูเจ็ดโง่เขลามาตลอดสิบห้า ปีคำพูดของท่านหลอกคนธรรมดาได้ แต่คนในรู้แก่ใจดี”
หมิงเวยยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าปิดท่านไม่ได้”
นางพูดต่ออีกว่า “ท่านก็เห็นว่าข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนไม่คิดว่าสวรรค์จะให้โอกาสข้าถึงเพียงนี้ ท่านคิดว่าตนเองเดินมาถึงทางตันแล้วไม่แน่ว่าหากท่านหันกลับมาอาจเกิดสถานการณ ณ์ใหม่ที่ดีขึ้นอย่างกะทันหันก็ได้เจ้าค่ะ”
เสวียนเฟยส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้เรื่องของข้าไม่เหมือนท่าน”
หมิงเวยไม่ได้โต้เถียงกับเขาแต่พูดว่า “ในตอนแรกที่ข้ามุ่งเป้าไปที่ท่าน นอกจากท่านจะเป็นดาวมารแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งเจ้าค่ะ สำนักของพวกเรามีความแค้นกันอย่างมากจะบอกว ว่าแค้นมากถึงขั้นไม่อยากอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันก็ไม่ผิด”
เสวียนเฟยดูสับสน “ข้าจำไม่ได้…”
“ท่านจำไม่ได้น่ะถูกแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยกระซิบ “เพราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกท่าน ท่านลองคิดดูว่าเหตุใดของของสำนักข้าถึงถูกสะกดอยู่ภายใต้หอดูดาวของเสวียนตูกวันได้กัน”
“….”
“ตกใจมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” หมิงเวยจ้องมาที่เขา “อันที่จริงราชครูซูสิง อาจารย์ของท่านไม่ได้สูงส่งอย่างที่ท่านคิด ถึงเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อเรื่อง แต่เขารู้เรื่องราวภายใน และไม ม่คิดจะนำของคืนกลับมาให้พวกเราท่านคิดเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”
เสวียนเฟยขยับริมฝีปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เมื่อข้ามาที่เสวียนตูกวันครั้งแรกสิ่งที่ข้าคิดจริงๆ คือเข้าทางไหนจะสะดวกมากกว่าเจ้าค่ะ” หมิงเวยยิ้ม “ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ดีกับพวกท่านเลยจริงๆ แต่หลังจากนั้นข้าคิดว่า าบางทีท่านก็ไม่ได้แย่เพียงนั้น และบางทีท่านอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสข้าแล้วเหตุใดข้าถึงให้โอกาสท่านไม่ได้เล่า แล้วจากนั้นพวกเราก็กลายเป็นความส สัมพันธ์เช่นนี้”
นางมองเสวียนเฟย “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชื่อใจท่าน ข้าไม่เชื่อท่านตั้งแต่แรกดังนั้นข้าจึงหลอกท่านให้ฝึกฝนวิชาลับนั่น แต่ตอนนี้ข้าเห็นท่านเป็นสหายดังนั้นก่อนจะสายเกินไป ข้าก็ไม่อยากทิ้งท่าน หากสามปีนี้มีความหมายกับท่านอยู่บ้างก็ให้โอกาสข้าแล้วก็ให้โอกาสตัวเองดีหรือไม่เจ้าคะ”
ด้วยน้ำเสียงที่จริงใจเช่นนี้เสวียนเฟยไม่สามารถพูดปฏิเสธออกมาได้
ในที่สุดเขาถามขึ้นว่า “โอกาสอะไรหรือ”
“คืนนี้พวกเราจะเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญมาก” นางพูด “บุรุษชุดครามผู้นั้นอาจมาแย่งชิงของสิ่งนั้นไป” ดวงตาของเสวียนเฟยสั่นไหว
“ท่านก็รู้ว่าเขาเก่งเพียงใด” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ไม่ว่าจะเรื่องเคล็ดวิชาหรือวรยุทธ์ เขาเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ การเอาชนะเขาข้าอาจจะต้องสู้ด้วยชีวิต หากข้ามีชีวิตกลับม มาท่านช่วยบอกเรื่องราวภายในแก่ข้าจะได้หรือไม่ ความขัดแย้งของท่านในตอนนี้ชัดเจนมากจนไม่รู้จะเลือกทางใด ข้าจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของข้า และเมื่อถึงเวลานั้นให้ข้าช่วยท ท่านตัดสินใจด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยขยับริมฝีปากของเขา และต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
หมิงเวยยิ้ม “ในเมื่อท่านไม่คัดค้านถือว่าพวกเราบรรลุข้อตกลงกันนะเจ้าคะ”
เกิดเสียงดังขึ้นด้านนอกหมิงเวยลุกขึ้นยืน “เขาคงมาแล้วข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” นางเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางแล้ว
เสวียนเฟยเงียบอยู่เป็นเวลานานในที่สุดเขาก็พ่นคำออกมาว่า “หากข้าไม่มีสิทธิ์เลือกข้าควรทำอย่างไร”
…………
เจดีย์กงเต๋อถูกไฟไหม้ทำให้กลุ่มลาดตระเวนระมัดระวังตัวมาก เมื่อถึงยามไห้[1] จู่ๆ ก็เกิดควันหนาทึบมีคนตะโกนขึ้นว่า “ไฟไหม้!”
หน่วยลาดตระเวนตกใจ และรีบวิ่งไปที่จุดที่เกิดเพลิงไหม้ แต่พบเพียงไม้เปียกเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่ามีคนแอบเข้ามาจากตำหนักเก็บพระสูตร
ที่นี่คือสถานที่ลับของเสวียนตูกวันในราชวงศ์ก่อนจะต้องไม่ให้เกิดการสูญเสีย ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งจึงรีบไปทันที หลังจากพยายามอย่างหนักในที่สุดก็พบตัวหัวขโมย
คลื่นอากาศถูกปล่อยออกมาฝ่ายตรงข้ามสลายไปในชั่วพริบตา
ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำตกใจ “กระดาษยันต์งั้นหรือ” เกิดความวุ่นวายภายในเสวียนตูกวันอย่างรวดเร็ว
ทางฝั่งหอดูดาวผู้อาวุโสอี้นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งเห็นร่างหนึ่งบินมาที่นี่จึงลุกขึ้นต้อนรับเขา
“ท่านหยุดก่อน!” อีกฝ่ายไม่พูดอะไร แต่ยกมือขึ้น
หลังจากนั้นร่างอีกสองสามร่างก็ปรากฏขึ้น ผู้อาวุโสท่านหนึ่งสะบัดแส้ขนหางจามรีแล้วเดินออกจากศาลา “ข้าเอง!”
เมื่อหมิงเวยมาถึงหอดูดาวก็เต็มไปด้วยผู้บุกรุกพวกมันมีผู้คนมากมาย และที่นี่มียอดฝีมือประมาณสิบคนได้ แม้คนเหล่านี้จะปลอมตัวมา แต่เพียงแวบเดียวนางก็จำซูรื่อฉู่ และนักพรตห หญิงชิงหลินได้
แยกออกอย่างไรหรือต่อให้คนถูกห่อรวมกันเป็นจ้งจึ[2]แล้วอย่างไร
นางเข้าไปแทรกการต่อสู้โต้กลับกระบวนท่ากับนักพรตหญิงชิงหลินแล้วโบกมือให้ลูกศิษย์เสวียนตูกวันให้ถอยไป
“ตรงนี้ข้าจัดการเอง”
ลูกศิษย์ผู้นี้ยังเด็กมากทำให้ยากจะรับมือเมื่อเห็นนางมาช่วยก็รู้สึกเหมือนคลายความกดดันลงไปเยอะ “ขอบคุณแม่นาง รบกวนท่านแล้ว!”
หมิงเวยมองชิงหลินแล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซียนไม่ได้เจอกันนานนะเจ้าคะ!”
ชิงหลินดึงหน้ากากลงด้วยความโกรธ “ท่านจำได้ด้วยหรือ”
“ท่านเซียนต่างจากคนทั่วไปไม่เหมือนคนธรรมดา ข้าต้องจำได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ไม่รู้ว่าควรพูดว่าชิงหลินไม่เฉลียดฉลาดดีหรือไม่เมื่อได้ยินคำพูดของนางก็มีสีหน้าเบิกบาน “แม้ท่านจะเป็นเด็กที่น่ารังเกียจ แต่ที่พูดมาเป็นความจริงอย่างยิ่ง”
หมิงเวยพูดต่อว่า “แน่นอน ข้าพูดความจริงเสมอเจ้าค่ะ”
หนิงซิวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเงียบๆ
พูดความจริง! นางพาศิษย์น้องของเขาโกหกได้เต็มปากยังจะกล้าพูด!
หมิงเวยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ท่านเซียนปรากฏตัวในตอนนี้ดูเหมือนว่าบุรุษชุดครามผู้นั้นจะเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดสมาชิกกลุ่มดาวด ด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ใช่”
หมิงเวยเลิกคิ้ว “เขาไม่ใช่กลุ่มดาวหรือ”
“เขาไม่ใช่!”
หมิงเวยแปลกใจ “แล้วเขาเป็นผู้ใดกัน เขากระตุ้นให้พวกท่านลงมือได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ชิงหลินยิ้ม “ท่านลองเดาสิ!”
“ในเมื่อเขาสั่งพวกท่านได้นั่นหมายความว่าเขาอยู่เหนือกว่าพวกท่าน”
ชิงหลินหัวเราะเบาๆ หมิงเวยพูดอีกว่า “ท่านเซียน ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าเองก็ไม่อยากทำร้ายท่าน เหตุใดท่านไม่เรียกเขาออกมาล่ะเจ้าคะ”
ชิงหลินไม่พอใจ “เด็กน้อย อย่าลำพองใจให้มันมากนักยังไม่ได้ประมือเจ้าจะรู้ได้อย่างไร”
หมิงเวยยิ้ม “สามปีก่อนกำลังภายในของข้าไม่เพียงพอจึงสามารถต่อกรกับท่านได้ด้วยฝีเท้า ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าสามารถเอาชนะท่านได้ เอาล่ะรีบเรียกเขาออกมาเถอะเจ้าค่ะ ในเมื่ออยา ากได้ป้ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตมาเผชิญหน้ากันตรงๆ อย่างสง่างามไม่ดีกว่าหรือ”
………………
[1] ยามไห้ : 21.00 น. – 23.00 น.
[2] จ้งจึ : บ๊ะจ่าง