คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 536 คลื่นเสียง
เสียงขลุ่ยตี๋จื่อดังขึ้นในยามค่ำคืนวินาทีที่หนิงซิวได้ยินเสียงขลุ่ยสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หมิงเวยหันกลับมาสบตากับเขา
คลื่นเสียง…
หมิงเวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และลมหนาวพัดผ่านมาจากที่ใดก็ไม่รู้ อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์ที่มีพลังอ่อนแอจามขึ้นมาแล้วยังได้ยินคนตะโกนขึ้นว่า “หิมะ หิมะตก!”
ในท้องฟ้ายามราตรีเกล็ดหิมะพลิ้วไหวราวกับใบหลิวเต้นระบำ
หนิงซิวสะบัดแขนเสื้อกระโดดขึ้นไปนั่งบนศาลาแล้ววางกู่ฉินไว้บนตัก
“ติง…” เสียงกู่ฉินดังขึ้น
หนิงซิวใช้กู่ฉิันป้องกันศัตรูด้วยการดีดสายให้เกิดเสียงแทนที่จะบรรเลงเพลง ตอนนี้เขานั่งตัวตรง และบรรเลงกู่ฉินออกมาเป็นเพลง
นิ้วของเขาร่ายบรรเลงบนสายกู่ฉิน เสียงกู่ฉินลื่นไหลราวกับสายน้ำ แต่อีกฝ่ายถูกโจมตีอย่างรุนแรงด้วยเสียงอันดังก้อง เสียงกู่ฉิน และเสียงขลุ่ยตี๋จื่อมาบรรจบกัน ด้านหน นึ่งเสียงสูงด้านหนึ่งเสียงดังก้องกังวานก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากัน
เกล็ดหิมะร่วงช้าลงอุณหภูมิค่อยๆ กลับมาสูงขึ้น จู่ๆ เสียงขลุ่ยตี๋จื่อก็เร็วขึ้นราวกับเซียนกระบี่ที่เร่งความเร็วกระบี่ของเขาในทันใด เสียงดนตรีเสียงหนึ่งกลายเป็นใบมีดพุ่ง งเข้าโจมตีหนิงซิว เสียงกู่ฉินของหนิงซิวเร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน
สีหน้าของเขาเยือกเย็นเขาเม้มริมฝีปากแน่นนิ้วทั้งสิบร่ายบนกู่ฉินอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน
ลูกศิษย์และผู้ติดตามที่มีพลังน้อยกว่าไม่สามารถทนต่อคลื่นเสียงได้ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาค่อยๆ ช้าลง และในท้ายที่สุด พวกเขาไม่สามารถต่อสู้ต่อได้ทำได้เพียงยกมือปิดหู แ และควบคุมจิตใจของตนเอง
แม้แต่ยอดฝีมือของเสวียนตูกวัน และเหล่าผู้อาวุโสยังต้องชะลอการโจมตี
เพราะพวกเขาต้องแบ่งสมาธิต้านทานคลื่นเสียงซึ่งรบกวนจิตวิญญาณของพวกเขา
ท่วงทำนองเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงขลุ่ยตี๋จื่อไม่หยุดหย่อน และเสียงกู่ฉินก็หนักแน่นราวกับสายฝนที่ตกหนัก สีหน้าของหนิงซิวยังคงสงบ แต่ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่เข ขาก็ไม่กลัว
อีกฝ่ายเร็ว เขาก็เร็วตาม ในเรื่องของคลื่นเสียงเขาไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น พลังคลื่นเสียงของคนผู้นี้เห็นได้ชัดว่ามีอานุภาพในระดับหนึ่ง เขายังสามารถสร้างภาพลวงตาซึ่ง งอาจจะดีกว่าหมิงเวยด้วยซ้ำ
เนื่องจากเสียงขลุ่ยเซียวของหมิงเวยไม่มีแรงสังหารที่รุนแรงเช่นนั้น คลื่นเสียงของนางอ่อนโยนกว่า และฟังดูมึนเมาในแวบแรก เมื่อหันหลังกลับมาก็พบว่าวิถีของนางไม่เหมือนคนผ ผู้นี้นางทุ่มเทในการต่อสู้กับเขาในเรื่องของจังหวะ
แต่เขาจะกลัวอะไรกัน ต่อให้ต้องต่อสู้จนเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่เขายังมีสหายอยู่!
หมิงเวยไม่ผลีผลามเข้าไปแทรกแซง เสียงขลุ่ยตี๋จื่อ และเสียงกู่ฉินต้านทานกันและกันก่อให้เกิดความสมดุลราวกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสองคนต่อสู้กำลังภายในกัน หากมีบุคคลที่สามเข้ าไปแทรกเป็นไปได้ที่พลังนี้จะเสียสมดุล และอาจสะท้อนกลับมาโจมตีใส่ทั้งสามฝ่าย
นางตั้งใจฟัง แต่เสียงขลุ่ยของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด…
หมิงเวยหันกลับไปมองด้านล่างภูเขาเสวียนตูกวันตกอยู่ในความโกลาหล เกิดเสียงต่อสู้ฆ่าฟันดังไม่หยุด
แปลกจริงอีกฝ่ายระดมคนจำนวนมากเพื่อแอบเข้าไปในเสวียนตูกวันขนาดนี้แล้วจะปกปิดอย่างลับๆ ได้อย่างไร
เมื่อมีคนมากเกรงว่าจะทำให้เบาะแสแพร่งพรายออกไปเสวียนตูกวันตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง และย่านนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองอื่นๆ
จริงสิ บุรุษชุดครามใช้กระดาษยันต์ได้หรือว่าจะเป็นกระดาษยันต์ สายฟ้าฟาดเข้ามาในจิตใจของนางหมิงเวยเข้าใจในทันที นางรู้แล้วว่าเหตุใดมันถึงรู้สึกคุ้นเคย
เพราะนี่คือวิธีที่นางใช้ป้องกันศัตรู!
ตัวอย่างเช่นใช้ยันต์สร้างคนให้รบกวนค่ายศัตรู หรือจงใจยุยงให้ผู้อื่นแข่งกันด้วยพลังคลื่นเสียง
เช่นนั้นขั้นตอนต่อไปของบุรุษชุดคราม…เสียงขลุ่ยและเสียงกู่ฉินขึ้นไปอยู่ในระดับที่คาดเดาไม่ได้ นางไม่ได้ยินท่วงทำนองที่งดงามเลยทุกๆ เสียงที่เรียงซ้อนกันรู้สึกได้ถึงคว วามรุนแรง
หนิงซิวจ้องมองกู่ฉินมีเลือดไหลออกจากมุมปากของเขา หมิงเวยอยากจะเตือนเขา “อาจารย์ ระวัง…”
ประโยคหลังยังไม่ทันพูดจบเสียงขลุ่ยก็เปลี่ยนไปดึงดูดให้หนิงซิวต้องไหลไปตาม และก็เกิดเรื่องขึ้น
เสียงขลุ่ยกลายเป็นเสียงแหลมยาวทำให้เกิดคลื่นเสียงอย่างรุนแรง ทุกคนดูเหมือนได้ยินเสียงอู้อี้ในหูของตนแก้วหูก็เจ็บราวกับถูกแทง
“อา…” เสียงอันเจ็บปวดดังขึ้นลูกศิษย์ที่มีพลังต่ำได้รับผลกระทบจากคลื่นเสียงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางด้านหนิงซิวพอเขาดีดสายสายกู่ฉินก็ขาดออกจนหมด!
“อั่ก!” เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากจนเลือดกระเซ็นลงบนกู่ฉิน เมื่อก้มหน้าลงไปมองพบว่านิ้วทั้งสิบชุ่มไปด้วยเลือด ชี่ภายในร่ายกายไม่เคลื่อนไหวทำให้ขยับตัวไม่ได้
เสียงกู่ฉินหายไปเสียงขลุ่ยกลายเป็นฝ่ายชนะ และปรับจังหวะให้ช้าลง
หอดูดาวเมื่อครู่นี้เสียงขลุ่ยตี๋จื่อ และเสียงกู่ฉินกำลังประลองกัน และตอนนี้เสียงขลุ่ยตี๋จื่อทั้งหมดถูกรวมเข้ากับอาณาเขตแล้ว
ท่วงทำนองที่ช้า ทั้งสูงและฟังดูหยิ่งผยองราวกับผู้ชนะจากการสังหารกองทัพนับพันเหยียบย่ำศพและบัลลังก์ดูถูกผู้แพ้
หมิงเวยกวาดตามองหอดูดาวยกเว้นนางแล้วทุกคนได้รับบาดเจ็บหมด เหล่าผู้อาวุโสบางคนถูกพลังของเสียงขลุ่ยโจมตีกำลังภายในจนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกระโดดไปอยู่ข้างกายหนิงซิวจากนั้นหยิบขลุ่ยเซียวจากด้านหลังออกมาแนบจรดริมฝีปาก
“วู…”
เสียงขลุ่ยตี๋จื่อนั้นใสแจ่มชัด แต่เสียงขลุ่ยเซียวกลับส่งเสียงคร่ำครวญให้ความรู้สึกเศร้าสร้อย ตำแหน่งที่เจาะเข้าไปนั้นแปลกมากไม่อยู่ในท่วงทำนองของขลุ่ยตี๋จื่อ แต่ติดอยู ระหว่างเสียงดนตรีทั้งสอง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ทำลายเพลงแห่งชัยชนะของเสียงขลุ่ยตี๋จื่อ ดั่งฮ่องเต้ที่ปีนขึ้นไปจุดสูงสุดได้ครึ่งทางก็ถูกลากเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
แต่สงครามนี้ไม่เหมือนเมื่อครู่
การต่อสู้ระหว่างขลุ่ยและกู่ฉินเป็นการต่อสู้ถึงตาย แต่การต่อสู้ระหว่างขลุ่ยตี๋จื่อกับขลุ่ยเซียวเป็นการต่อสู้เพื่อชิงความเป็นต่อ เสียงขลุ่ยตี๋จื่อยังพยายามเร่งความเร็ว เส สียงขลุ่ยเซียวไม่สนใจ และยังคงติดอยู่ที่จุดนั้นซึ่งทำให้สถานการณ์ดูน่าอึดอัดยิ่ง หากไม่เดินตามก็จะไม่สามารถแย่งเสียงขลุ่ยเซียวหากเดินตามก็จะทำให้ตนเองกลายเป็นทาส
ตอนนี้หนิงซิวเข้าใจแล้ว จังหวะของเขาตกไปอยู่ในจังหวะของผู้อื่น
นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่แปลกอะไรสิ่งที่ขับเคลื่อนคือความแพ้ชนะ
หนิงซิวถอนหายใจที่แท้การบำรุงรักษาพลังลมปราณยังพยายามไม่เต็มที่
ขลุ่ยตี๋จื่อ และขลุ่ยเซียวหยุดกะทันหันแล้วมีเสียงแว่วมาแต่ไกลว่า “แม่นางหมิง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้หรอก ท่านจะไม่ได้กุญแจในมือของข้า ข้าเองก็ไม่สาม มารถเอาป้ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตมาได้ เหตุใดเราไม่หยุดเพียงเท่านี้ล่ะ”
เสียงนี้เป็นของบุรุษชุดคราม เสียงขลุ่ยเซียวหยุดลง
หมิงเวยตอบกลับว่า “ก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ แต่ยื้อเวลาต่อไปก็เป็นประโยชน์สำหรับข้าเช่นกัน แต่สำหรับท่านนั้นไม่”
เบื้องหลังนางคือฝ่าบาท ส่วนเหล่ากลุ่มดาวที่จู่โจมในคืนนี้เป็นคนที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้
บุรุษชุดครามหัวเราะ “แต่กุญแจอยู่ในมือของข้า และสิทธิ์ในการได้ป้ายคุ้มกันก็อยู่ในมือข้าเช่นกัน ท่านไม่กลัวข้าจากไปอย่างเพิกเฉยหรือ ให้ชั่วชีวิตนี้ของท่านไม่พบป้า ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตอีกเลย”
หมิงเวยหมุนขลุ่ยในมือ “มันก็แค่กุญแจไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในเมื่อมีกุญแจก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่สามารถจับคู่ได้ แม้ว่ากุญแจนี้จะแปลกไปหน่อย แต่ก็ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอ อีกเล็กน้อย”
ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่งถึงจะตอบขึ้นมาว่า “แต่ท่านมีเวลามากเพียงนั้นเลยหรือ ท่านไม่ใช่คนในยุคนี้อยู่แล้วจะรอได้อีกนานเพียงใดกัน” คำพูดนี้กระแทกใจนางมาก
หมิงเวยคิดแล้วถามว่า “แล้วเช่นนั้นท่านบอกข้ามาว่าวิธีใดที่ดีที่สุดหรือ”
ในยามราตรีมีร่างหนึ่งพลิ้วไสวชุดสีเขียวราวกับใบไม้ลอยตัวลงมาจากบนหอดูดาว ที่เอวของบุรุษชุดครามมีขลุ่ยไม้ไผ่คาดอยู่ที่เอว ส่วนมือนั้นถือร่มเขาพยักหน้าแล้วถามนาง ด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อท่านยกธงรบแล้วเช่นนั้นพวกเรามาตัดสินผลกันดีกว่า ว่าอย่างไร”