คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 538 ข้าเอง
ป้ายสะกดวิญญาณเป็นอาวุธวิเศษ ปรมาจารย์แห่งชีวิตรุ่นแรกเสียชีวิตที่เป่ยหมาง ลูกศิษย์เขากลับมายังสถานที่ที่เขาเสียชีวิตในอีกหลายปีต่อมาเพื่อหาอาวุธวิเศษนี้
การใช้ร่างกายสังเวยพลังอันยิ่งใหญ่ในการปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย และในท้ายที่สุดพวกมันทั้งหมดถูกรวมเข้าด้วยกันในป้ายสะกดวิญญาณ และกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ดีที่สุดในการปราบป ปรามวิญญาณชั่วร้าย
ตั้งแต่นั้นมาปรมาจารย์แห่งชีวิตแต่ละรุ่นได้ถือป้ายสะกดวิญญาณนี้ และเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย มันค่อยๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของปรมาจารย์แห่งชีวิต และกลายเป็ นป้ายคุ้มกันปรมาจารย์แห่งชีวิตในหมู่ของเสวียนชื่อทั้งหลาย
การพกป้ายสะกดวิญญาณนั้นจำต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายดังนั้นปรมาจารย์แห่งชีวิตแต่ละรุ่นจึงมีอายุไม่ยืนยาว ความลับนี้เป็นที่รู้กันไปทั่วหล้าหลังจากอาจาร รย์ปู่ได้ป้ายสะกดวิญญาณกลับคืนมา
เมื่อนางได้รับช่วงต่อป้ายของปรมาจารย์แห่งชีวิตจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อสู้กับมันอีกต่อไป วิญญาณชั่วร้ายที่ถูกสะกดในป้ายสะกดวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่น หากไม่มีความแข็งแกร่งที่ สอดคล้องกันก็ไม่สามารถรับภาระความสูญเสียที่ต้องจ่ายได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อตอนที่นางอยู่ที่เขาเป่ยหมางจึงไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะดึงดูดความโลภของผู้อื่นได้
สำหรับคนธรรมดาแทนที่จะเรียกว่าสมบัติ สู้เรียกว่าสิ่งชั่วร้ายจะดีกว่า…
ตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายในป้ายสะกดวิญญาณได้รับการปลดปล่อยแล้ว เพื่อให้ได้มันมาจะต้องสะกดวิญญาณชั่วร้ายกลับไป
ผู้อาวุโสอี้ที่ยืนอยู่หน้าสุดรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายวิญญาณอสูรที่ทรงพลังปรากฏขึ้นจึงรีบตั้งท่าเพื่อเค้นพลังออกมาทันที
เขาเป็นคนแรกที่มีความสามารถมากพอที่จะได้เป็นเจ้าสำนัก แน่นอนว่าผู้อาวุโสอี้เป็นบุคคลที่โดดเด่น ในตอนที่เขายังเยาว์ได้เดินทางไปทั่วหล้า ขับไล่ภูติผีปีศาจ อีกทั้งเคยทำ เรื่องที่ยิ่งใหญ่จนเป็นที่ยกย่องในหมู่เสวียนเหมิน
ภายใต้คำสั่งของเขาเหล่าผู้อาวุโสได้รวมตัวกัน และยืนตามตำแหน่งของดวงดาว โดยใช้พลังเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
ด้วยความพยายามร่วมกันของผู้อาวุโส กลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายตัวแรกค่อยๆ ลดลง และถูกกดกลับไปที่ป้ายสะกดวิญญาณ เพิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ไม่นาน แต่กลิ่นอายที่มีพลังมากกว ว่าก็หนีออกมาทันที
ผู้อาวุโสล่ายตกใจ “ยังเหลืออีกตัว!”
ผู้อาวุโสอี้ตะโกน “ทำต่อไป!”
ตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่…
เหล่าผู้อาวุโสตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้แค่ตัวเดียวมีพลังมากถึงเพียงนี้ ตกลงพวกมันมีทั้งหมดกี่ตัวกันแน่ พลังของพวกเขาถูกใช้ไปทีละน้อย แม้อยากจะช่วย แต่คว วามสามารถมีไม่พอ
เสียงขลุ่ยเซียวดังขึ้นในหูของพวกเขา เป็นหมิงเวย และบุรุษชุดครามที่เล่นเพลงนำทางวิญญาณในเวลาเดียวกัน ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจให้ความร่วมมือกัน แต่เสียงดนตรีแต่ละตัวกลับเข้า ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ พลังของทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน และดังก้องอยู่เหนือหอดูดาว ขับไล่พลังชั่วร้ายที่หลบหนีออกมา
เหล่าผู้อาวุโสจากเสวียนตูกวันผ่อนคลายลงทันที การปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา
ตัวที่ห้า ตัวที่หก ตัวที่เจ็ด…
ผ่านไปสิบตัวอย่างรวดเร็วผู้อาวุโสล่ายทรุดตัวลง “พวกมันมีกี่ตัวกันแน่!”
ไม่มีผู้ใดตอบเขา มีเพียงวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นที่ปรากฏตัวทีละตัว
ในที่สุดผู้อาวุโสก็อาเจียนเป็นเลือดและล้มลง ไม่นานหลังจากนั้นมีอีกสองท่านที่หมดพลังจำต้องหยุดมือ
สีหน้าของหมิงเวย และบุรุษชุดครามเริ่มเคร่งเครียดมากขึ้น พลังของพวกเขายังไม่หมดลง แต่วิญญาณชั่วร้ายที่ปรากฏตัวนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะ ปราบปรามพวกมันอีกต่อไป
ในตอนที่ผู้อาวุโสอี้ทรงตัวไม่ไหวเหล่าผู้อาวุโสจากเสวียนตูกวันเองก็ไร้เรี่ยวแรงต่อกรแล้วเช่นกัน ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ด้านล่างภูเขาเข้ามารับช่วงต่อ และเมื่อพลังของพวกเ เขาหมดลง วิญญาณชั่วร้ายก็ยังปราบปรามไม่เสร็จเสียที
สีหน้าของผู้อาวุโสอี้ไร้สีเลือดเขามองหมิงเวย และบุรุษชุดครามแล้วถอนหายใจ
คนหนุ่มสาวสมัยนี้น่ากลัวนัก ตนยังคิดว่าเสวียนเฟยเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในช่วงเวลานี้ และเป็นเรื่องยากที่จะมีรุ่นน้องที่เก่งกาจกว่าเขาตนจึงไม่ปรารถนาที่จะเห็นสอง คนนี้พร้อมกันในคราวเดียวเท่าใดนัก
แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นคนนอก แต่ยืนหยัดมาได้นานเพียงนี้ แรงกดดันไม่น้อยไปกว่าพวกเขา แต่ยังสามารถรับมือกับมันได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
“ผู้อาวุโสอี้ พลังของท่านใกล้หมดลงแล้วเปลี่ยนตัวกับข้าเถอะ!” นักพรตซีเฉิงเดินทางมาถึง ผู้อาวุโสอี้รู้ว่าตนไม่สามารถทนได้อีกต่อไปดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
นักพรตซีเฉิงเข้ามาแทนที่เขา จนกระทั่งนักพรตซีเฉิงเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ผู้อาวุโสที่ถอนตัวออกไปก่อนหน้าฟื้นตัวขึ้นจึงกลับเข้ามาในตำแหน่งดวงดาวอีกครั้ง แต่พลังหายไปอย่างรวดเ เร็วหลังจากวนไปหลายรอบก็ไม่มีผู้ใดมีพลังเหลือในการปราบปรามแล้ว
ผู้อาวุโสอี้ถอนหายใจ บทสนทนาระหว่างหมิงเวย และบุรุษชุดครามก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน ของสิ่งนี้อยู่ในเสวียนตูกวันพวกเขาจะเต็มใจให้ผู้อื่นเอาไปได้อย่างไรกัน
ตอนนี้ฝั่งของตนไม่มีผู้ใดยืนหยัดจนช่วงสุดท้ายได้แล้ว หรือว่าต้องหลีกทางให้ผู้อื่นจริงๆ ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าเอง”
เหล่าผู้อาวุโสต่างตกตะลึง และหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น
ในยามราตรีแขนเสื้อของเสวียนเฟยพลิ้วไหวไปกับสายลม
เดิมทีมีคนเฝ้าคุมเขาอยู่ แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของวิญญาณชั่วร้าย เหล่าผู้อาวุโสจึงขึ้นไปหอดูดาวทีละคน ตอนที่ออกจากห้องโถงจึงไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นเลยสักคน
“เสวียนเฟย!” ผู้อาวุโสล่ายตะโกน “ท่านยังรอ...”
ยังไม่ทันพูดคำว่ารอลงอาญาออกมาก็ถูกผู้อาวุโสอี้ตัดบท
เขาโค้งกายคำนับ “รบกวนท่านเจ้าสำนักแล้ว”
เสวียนเฟยยิ้มสีหน้าของเขาไร้ความหงอยเหงาเศร้าซึมอีกต่อไปราวกับย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องเป็นท่านราชครูที่มั่นคง และน่าเชื่อถือ
สายตาของเขากวาดตามองบุรุษชุดคราม ไม่มีความหวั่นไหวในแววตาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็หันไปยิ้ม และพยักหน้าให้หมิงเวย
เมื่อเขายืนอยู่บนตำแหน่งดาวแรงกดดันต่อทั้งสองก็เบาลงทันที เส้นทางของเคล็ดวิชา ความแตกต่างของพรสวรรค์ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างก้อนเมฆกับโคลน อายุอาจปิดช่องว่างได้ แต ต่เสวียนชื่อระดับสูงที่แท้จริงเกิดจากอัจฉริยะเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ผู้อาวุโสของเสวียนตูกวันพ่ายแพ้ก็มีคนหนุ่มสาวสามคนที่สนับสนุนพวกเขา วิญญาณชั่วร้ายอีกตัวหนึ่งถูกปราบปราม เสียงร้องของภูติผีเบาลง และหยินชี่ลดลงไปอย่า างมาก
ราวกับฝนตกหนักจนถึงช่วงสุดท้าย เหล่าผู้อาวุโสได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ที่ดังมากดังขึ้น ลมเย็นพัดผ่านอย่างรุนแรง
หยินชี่ที่เพิ่งสลายไปก็หนาขึ้นอีกครั้งในชั่วพริบตาก่อตัวจนเกิดรูปร่าง
ผู้อาวุโสอี้ตัวสั่น และตะโกนขึ้นว่า “ระวัง นั่นอาจเป็นราชาปีศาจ!”
ผู้อาวุโสทุกคนหน้าซีด พวกเขารู้สึกได้ว่าตัวที่ปรากฏขึ้นในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวก่อนๆ มาก!
หยินชี่กลายเป็นเม็ดฝน และตกลงมาจากอากาศ ทุกคนได้ยินเสียงคำรามชัดเจน วิญญาณชั่วร้ายกำลังจะออกมา
เมื่อวิญญาณชั่วร้ายปรากฏตัวเสวียนเฟยตัวเซ และส่งเสียงทอดถอนใจ
เขาอยู่แนวหน้า และเป้าหมายแรกที่จะถูกหยินชี่โจมตีก็คือเขา เสวียนเฟยหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติ และใช้พลังทั้งหมดต้านทานเอาไว้ เขาท่องคาถาอย่างเงียบๆ ระดมพลังทั้งหมดไปที่หอ ดูดาว
วิญญาณชั่วร้ายนี้มีพลังมากจนเขารู้สึกเหมือนเรือลำเล็กที่ต่อสู้กับคลื่นยักษ์ในทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่สีหน้าของเขายังคงสงบ
เขานึกถึงเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กในช่วงที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่
เขาเติบโตขึ้นมาในเสวียนตูกวันตั้งแต่เขาจำความได้ที่นี่คือบ้านของเขา
ท่านอาจารย์เป็นทั้งอาจารย์ และบิดามารดาของเขา เขาเคยถามท่านอาจารย์ว่าตนเองเป็นผู้ใด มาจากไหน
ท่านอาจารย์ตอบว่าคนเราเกิดมาไม่สามารถเลือกบิดามารดาได้ ดังนั้นภูมิหลังของคนเราจึงเป็นสิ่งสำคัญน้อยที่สุด ในเมื่อเข้ามาในเสวียนเหมิน เป็นเสวียนชื่อ ไม่จำเป็นต้องสนใจทุกส สิ่งในอดีต ชีวิตที่ตนเองสามารถควบคุมได้ในอนาคตต่างหากคือสิ่งสำคัญ
เขามักจะคิดว่าเขาจำคำพูดของอาจารย์ได้ดีสืบทอดหลักคำสอนของท่านได้อย่างดี
หลังจากนั้นเขาถึงได้พบว่าตนเองไม่ได้ทำเลย แต่ไม่เป็นไรตอนนี้เขาทำได้แล้ว
คลื่นลูกใหญ่พัดมา เรือน้อย[1]แตกเป็นเสี่ยงทันที
เสวียนเฟยตกใจเขาร้องออกมาจากนั้นก็ล้มลง
……………
[1] เรือน้อย : เป็นสัญลักษณ์แทนจอมยุทธ