คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 540 ได้คืน
หนิงซิวคิดจะตามไป แต่พอเขายืนขึ้นก็ทรงตัวไม่อยู่ ยกมือกุมหน้าอก
หยางชูมองนิ้วทั้งสิบที่เปื้อนเลือดของเขาแล้วกดเขาลง “ศิษย์พี่ ท่านอย่าขยับเลย”
หนิงซิวพูด “หากจับเขาไม่ได้ก็ควรจับลูกน้องของเขาสักสองคน พวกเรารู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเขาน้อยเกินไป หากเราไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อค้นหาที่มาของพวกเขา พบกันครั้งหน้าพวกเราอ อาจเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
หยางชูยิ้ม “ถ้าเรื่องนั้นไม่จำเป็น”
หนิงซิวมองเขาอย่างสงสัย
หยางชูพูด “ที่นี่คือชานเมืองของเมืองหลวงเห็นได้ชัดว่าเรามีข้อได้เปรียบด้านสถานที่ ท่านคิดว่าข้าจะไม่ทำอะไรเลยหรือ ใต้เท้าเจี่ยงกลับไประดมพลตั้งนานแล้วไม่ว่าเขาจะแข็งแกร ร่งเพียงใด เขาก็ต้องทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลังยามถูกล้อมไปด้วยกองทหาร!”
หนิงซิวมองเขา หยางชูที่ถูกจ้องมองไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
“เปล่า” จากน้ำเสียงของเขาดูมีความคะนึงคิดอย่างใจหายเล็กน้อย “เจ้าคิดรอบคอบกว่าข้า”
ในตอนที่เพิ่งมาที่นี่ใหม่ๆ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายยังเด็กอยู่ แม้จะมีสติปัญญา แต่ไม่ได้ดูน่าเชื่อถือเพียงนั้น ทั้งยังหุนหันพลันแล่น นิสัยเหมือนเด็ก เจ้าอารมณ์…ตอนนี้พอมองย้อ อนกลับไป สามปีมานี้เขาเติบโตขึ้นมากจนสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้แล้วจริงๆ
“อาจารย์” หมิงเวยเรียก “มารับป้ายคุ้มกัน”
หนิงซิวสลัดความคิดออกไปแล้วพยักหน้าจากนั้นลุกขึ้น และเดินไปตรงกลาง
“เดี๋ยวก่อน!”
หนิงซิวหยุด และมองไปยังเจ้าของเสียงนั้น เป็นผู้อาวุโสอี้
เขาพูด “นั่นเป็นของเสวียนตูกวันของพวกเรา”
ผู้ที่ตอบเขาเป็นหมิงเวยนางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นั่นเป็นของที่มาจากสายปรมาจารย์แห่งชีวิตของพวกเรา”
พูดจบก็ส่งสัญญาณทางสายตา หนิงซิวก้มตัวลงหยิบป้ายสะกดวิญญาณอย่างไม่เกรงใจ
“หยุดนะ!” ผู้อาวุโสล่ายตะโกน “พวกท่านคิดจะขโมยไปหรือ”
หมิงเวยกระชับขลุ่ยเซียวในมือแล้วถามเสียงเย็น “ถ้าใช่แล้วจะทำไมหรือ”
ผู้อาวุโสอี้โกรธมาก “ถึงแม้ครั้งนี้จะได้รับการช่วยเหลือจากพวกท่าน แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านจะต้องมาขโมยของดูต่างหน้าของเจ้าสำนักคนก่อนไป หากไม่หยุดมือก็อย่ามาโทษพว วก…”
“หึ!” หมิงเวยไม่คิดจะอธิบายให้พวกเขาฟัง “อยากจะสู้ก็เข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ”
ท่าทีของนางช่างดูเย่อหยิ่งมาก เหล่าผู้อาวุโสเสวียนตูกวันที่อยู่ในที่นี้ต่างก็หงุดหงิดกับนาง แต่เมื่อนึกถึงสถานะของนางพวกเขาก็ลังเลอีกครั้ง
พวกเขามองหยางชู แต่เห็นว่าเขาได้หันกลับมา และยืนอยู่ตรงหน้าหมิงเวยและหนิงซิว มีจุดประสงค์ที่จะปกป้องอย่างชัดเจน
หากเป็นเยวี่ยอ๋องผู้เดียวคงไม่ถึงขนาดทำให้เสวียนตูกวันต้องยอมถอย แต่หากเขาคิดจะทำให้ฝ่ายตนตกที่นั่งลำบากคงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา
ในขณะที่จมอยู่กับทางตันก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ เป็นเสวียนเฟยที่เปิดปากพูดว่า “พวกท่านถอยไป มอบของสิ่งนั้นให้พวกเขา!”
“เจ้าสำนัก!”
ผู้อาวุโสล่ายตะโกนอย่างไม่เกรงใจ “เสวียนเฟย ท่านอยู่ในสถานะรอลงอาญา ตอนนี้คิดจะสั่งการพวกเรางั้นหรือ ของสิ่งนั้นถูกสะกดอยู่ใต้หอดูดาว มันเป็นสมบัติของเสวียนตูกวัน ของพวกเรา มีเหตุผลอะไรต้องให้ผู้อื่นด้วย”
เสวียนเฟยตอบเสียงเรียบ “เพราะของสิ่งนั้นเป็นของพวกเขา” เขายืนขึ้นมองเหล่าผู้อาวุโส ดวงตาของเขายังคงสงบ และอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจอย่างที่ไม่เคยมี
ผู้อาวุโสล่ายตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ท่านจะบอกว่าใช่ก็คือใช่งั้นหรือ”
ผู้อาวุโสอี้เองก็พูดว่า “ท่านเจ้าสำนัก กุญแจที่คลายผนึกเป็นของดูต่างหน้าของราชครูซูสิง เหตุใดท่านถึงบอกว่าเป็นของพวกเขากัน”
“เพราะมันคือความจริง” เสวียนเฟยก้มมองป้ายสะกดวิญญาณ “ของสิ่งนี้สะกดวิญญาณชั่วร้ายจำนวนมาก คงจะมีวิธีพิเศษในการยืนยันผู้เป็นเจ้าของหากพวกท่านไม่เชื่อก็ลองดูซะ”
“นั่น…” เสวียนเฟยส่งสัญญาณให้หมิงเวย หมิงเวยพยักหน้าเล็กน้อย และหนิงซิวก้มลงหยิบต่อ
ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่จ้องมอง หนิงซิวหยิบป้ายสะกดวิญญาณขึ้นมา
ทันทีที่ป้ายไม้อยู่ในมือเขารู้สึกว่าพลังที่อ่อนแอที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขากำลังหลั่งไหลเข้าสู่ป้ายสะกดวิญญาณ หัวใจของเขาเต้นแรง และเลือดก็พุ่งออกมาจากมุมปากของเ เขาอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็พบว่าเขาได้เข้าสู่โลกอันลึกลับ ภาพทีละภาพแวบเข้ามาในหัว ตัวอักษรมากมายผ่านตาเข้าไป วิชาลึกลับเหล่านั้นวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้น…
คนอื่นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้พวกเขารู้สึกแค่ว่าป้ายสะกดวิญญาณในมือของเขากำลังเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต หนิงซิวคิดว่าเวลาผ่านไปนาน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเพียงลมหายใจสั้น นๆ
มรดกทั้งหมดเหล่านั้นไหลเข้าไปในความคิดของเขา และป้ายสะกดวิญญาณก็กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ป้ายสะกดวิญญาณในมือของเขาเป็นอาวุธวิเศษที่มีชีวิต ตราบใดที่เขาต้องการก็สามารถนำป้ายออกมาป้องกันศัตรูได้ ลมหายใจของเขากับมันเชื่อมถึงกัน และรู้ได้อย่างชัดเจนว่าวิญ ญญาณร้ายถูกสะกดไว้กี่ตัวแล้วยังรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในนั้น
หนิงซิวออกแรงบีบ และลมหายใจทั้งสองก็ผสมผสานกัน
เหล่าผู้อาวุโสนั้นประหลาดใจเกินกว่าจะพูดออกไปสิ่งนี้มีอานุภาพเพียงใด พวกเขาได้เห็นกับตาแล้ว แต่ถูกหนิงซิวปราบลงได้อย่างง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งกว่านั้นลมหายใจที่ ผสมผสานกัน แทนที่จะบอกว่าปราบลงได้ สู้ใช้คำว่ายอมรับเจ้านายแทนจะดีกว่า
มันเป็นของพวกเขาจริงๆ หรือ
เสวียนเฟยเปิดปากพูดว่า “อาจารย์อาทั้งหลาย หลังจากนี้ข้าจะอธิบายให้พวกท่านฟัง แต่ตอนนี้ข้าต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทคดีของอวี้หยางรู้ผลแล้ว”
พูดจบเขาก็พยักหน้าให้หยางชู “ขอเชิญเยวี่ยอ๋องไปกับข้าได้หรือไม่”
เยวี่ยอ๋องยิ้ม “ท่านราชครูโปรดรอสักครู่ใต้เท้าเจี่ยงจะกลับมาในไม่ช้า เรื่องนี้ให้เขาไปจะเหมาะสมกว่า”
เสวียนเฟยไม่ได้คัดค้าน พวกเขาฟื้นฟูหอดูดาวให้กลับสู่สภาพเดิม และเมื่อลงจากเขา เจี่ยงเหวินเฟิงก็กลับมา
“ว่าอย่างไรบ้าง” หยางชูทักทายเขา
เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวขอโทษ “กว่าจะจับมาได้สองคนนั้นช่างยากลำบาก สุดท้ายพวกเขาก็ฆ่าตัวตาย แต่พบบางสิ่งจากร่างกายของพวกเขา”
หยางชูไม่ได้คาดหวังมากมายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาพูดว่า “มันไม่ง่ายที่จะจับมาได้สองคน อีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา”
พวกเขาพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ เจี่ยงเหวินเฟิงก็พาเสวียนเฟยไปที่พระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หยางชู และหมิงเวยพาตัวฝู และหนิงซิวกลับไปที่หลังเขา
หนิงซิวได้รับบาดเจ็บสาหัส และเขาเพิ่งได้รับป้ายสะกดวิญญาณจำเป็นต้องพักฟื้น ดังนั้นเขาจึงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้องเพื่อรักษาตัว
ทั้งสามคนกินยารักษาบาดแผลและนั่งพูดคุยกัน
หยางชูรู้สึกกังวลเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าเสวียนเฟยจะพูดอะไรพวกเราควรสมรู้ร่วมคิดกันให้การเท็จก่อนแล้วค่อยให้เขาไปอธิบาย”
หมิงเวยหัวเราะ “มีเวลาสมรู้ร่วมคิดกันให้การเท็จที่ไหนกันเจ้าคะ มีสายตามากมายจับจ้องขนาดนั้นให้เขารีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจะได้ไม่ถูกผู้อื่นยั่วยุ ด้วย”
“ท่านลองเดาหน่อยว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่ออะไร”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” หมิงเวยไม่สนใจ “รอเขากลับมาค่อยถามให้แน่ชัดดีกว่าเจ้าค่ะ”
“เขาจะบอกความจริงกับเราหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ความรู้สึกของข้ากลับตรงกันข้ามเมื่อก่อนเขาอาจเก็บงำเอาไว้ แต่หลังจากนี้เขาจะบอกความจริงกับเราอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
………….
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านราชครู และใต้เท้าเจี่ยงเข้าเฝ้าขอรับ”
เสวียนเฟยเปลี่ยนชุดนักพรตที่เปื้อนเลือด และเข้าไปในท้องพระโรง
ฮ่องเต้กำลังตรวจสอบฎีกาไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“กระหม่อมเจี่ยงเหวินเฟิงถวายพระพรฝ่าบาท กระหม่อมทำงานสำเร็จลุล่วง คดีที่เสวียนตูกวันได้รับการคลี่คลายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยุดเขียน และมองดูพวกเขา “อ้อ เจี่ยงชิงตรวจสอบได้ว่าผู้ใดเป็นฆาตกรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองไปที่เสวียนเฟย
เสวียนเฟยปัดชายเสื้อของเขา และคุกเข่าลง “กระหม่อมเสวียนเฟย อยากขอความกรุณาจากฝ่าบาทได้โปรดปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งราชครูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”