คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 548 กลิ่น
ซูถูเพ่งมองแล้วพบว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี อายุประมาณสิบแปดสิบเก้า ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เหมือนนางจะเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ในมือถือม้วนภาพจำนวนมาก ไม่มีสาวใช้ข้างกายติดตาม ม
เมื่อเห็นเขาไม่ตอบอีกฝ่ายก็เร่งเร้า “มองอะไร ข้าถามท่านนะ!”
เขารู้ว่าที่จงหยวนการจ้องมองสตรีนั้นไม่สุภาพนัก ดังนั้นเขาจึงหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว และโค้งคำนับ “ต้องขออภัยด้วย ข้าเป็นนักท่องเที่ยวมาจากต่างเมือง มัวแต่มองทิวทัศน์เลยไ ไม่ทันสังเกต…”
“ที่แท้มาจากต่างเมืองนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะไม่รู้ ถนนเส้นนี้เป็นเขตจวนอ๋อง คนนอกควรหลีกเลี่ยง ท่านอย่ามาเดินเล่นแถวนี้ ถ้าไม่ระวังไปชนผู้ใดเข้าจะเป็นปัญหาได้”
อีกฝ่ายไม่มีท่าทีเขินอายอย่างที่สตรีจงหยวนควรมี อีกทั้งยังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่านรูปงามเช่นนี้ ให้ทหารยามยิงธนูใส่จนเป็นเม่นดูจะน่าเสียดาย”
ซูถูตอบในใจว่าใช่ เขาคิดว่าสตรีทุกคนในจงหยวนนั้นไม่ใช่ว่าบอบบางเขินอายหรอกหรือ เหตุใดแม่นางผู้นี้ถึงพูดเช่นนี้…
“เอาล่ะ ท่านรีบไปเถอะ อย่ารอช้าเลย!”
ซูถูโค้งคำนับอีกครั้ง “ข้าขอตัวก่อน”
เขามองนางเดินไปที่ประตูข้างจวนเยวี่ยอ๋อง และเห็นทหารเฝ้าประตูประสานมือคำนับนาง นางหันกลับมามองอีกครั้งดวงตาของทั้งสองสบกัน ซูถูส่งยิ้มให้นาง แม่นางผู้นั้นก็ยิ้มกลั บแล้วหันหลังเข้าไป
ซูถูเดินจากไปเขาเดินไปพลางครุ่นคิด สตรีนางนั้นมีสถานะใดกันแน่ ทหารของจวนเยวี่ยอ๋องดูให้เกียรตินางมาก ดูไม่เหมือนสาวใช้ แต่จวนเยวี่ยอ๋องไม่มีสมาชิกอื่นในครอบครัวที่เ เป็นสตรีไม่ใช่หรือ
หรือว่าจะเป็นอนุของเยวี่ยอ๋อง ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นทหารถึงมองนางเป็นเจ้านาย เขาอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ ยังไม่ทันแต่งงานก็มีอนุเสียแล้ว สตรีผู้นั้นไม่น่าตามอีกฝ่ายกลับไ ไปเลย เป็นหวางเฟยของเขามีความสุขกว่าในจวนอ๋องอีกไม่ใช่หรือ
แล้วยังเจ้าเด็กนั่นอีก สตรีที่อยู่ข้างกายแต่ละคนดีๆ ทั้งนั้น คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง มีคนเช่นนั้นอยู่ด้วยนับว่าแข็งแกร่งว่าผู้อื่นมาก...
…………
อาหว่านกลับมาถึงเรือนหลังเสี่ยวถงเข้ามาทักทาย “พี่อาหว่าน ของมากมายพวกนั้น เหตุใดท่านไม่เรียกให้คนไปช่วยล่ะ”
อาหว่านส่งม้วนภาพให้นางแล้วพูดว่า “ข้าไปเองสะดวกกว่า เสร็จงานก็บังเอิญผ่านร้านเลยนำภาพเหล่านี้กลับมา ท่านอ๋องจู้จี้จุกจิกเพียงนั้นหากให้ผู้อื่นไปดู อีกประเดี๋ยวคงได ด้อาละวาดแน่”
เสี่ยวถงยิ้ม “มีเพียงพี่เท่านั้นที่สามารถเข้าใจความคิดของท่านอ๋องได้อย่างเต็มที่”
อาหว่านทำปากยื่น “ข้าจะไปอ่านความคิดท่านอ๋องออกได้อย่างไร! ท่านชอบถูก...” พูดได้เพียงครึ่งคำนางก็โบกมือ “ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่าท่านอ๋องกลับมาหรือยัง”
“กลับมาแล้ว อยู่ที่ห้องหนังสือ!”
“พอดีเลย ข้าจะเอาไปให้ท่านดูสักหน่อยว่าพอใจหรือไม่”
ทั้งสองไปที่ห้องหนังสือ หยางชูถามนาง “อาหว่าน เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเอาป่านนี้ ทานข้าวแล้วหรือยัง”
อาหว่านตอบ “ทานจากข้างนอกมาแล้วเจ้าค่ะ ช่วงนี้อาจารย์ฟู่ไม่เคลื่อนไหวอะไรจึงไม่มีเรื่องอะไรมากมาย”
หลังจากจัดการเรื่องเส้นสายภายในจวนเสร็จ นางมอบเรื่องต่างๆ รอบกายหยางชูให้แก่เสี่ยวถงแล้ว ตอนนี้ดูแลรับผิดชอบเรื่องข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ยุ่งจนไม่สามารถสลัดตัวออกมาได้
“ทั้งสองคนประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทางช่วงนี้จะทำเรื่องอะไรได้ เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วยทุกวันนี้เจ้ายุ่งกว่าข้าอีก”
อาหว่านพูด “พวกเรามีผู้ใดไม่ยุ่งไปกว่าท่านบ้าง ธุระของเสี่ยวถงเยอะกว่าท่านอีก! ไม่เหมือนท่านวันๆ ไม่ตกปลาก็ฟังเพลง”
หยางชูถูกนางพูดเช่นนั้นก็รู้สึกอับอาย “ข้ายุ่งสิถึงจะแปลก”
อาหว่านแค่พูดไปอย่างนั้นหากเขายุ่งในวังจะไม่ตึงเครียดหรอกหรือ นางพูดว่า “เวลานี้แล้ว ท่านอ๋องรีบพักผ่อนเร็วๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้าก็ด้วย เป็นสตรีอย่านอนดึกล่ะ”
ทั้งสองพูดต่ออีกไม่กี่ประโยคก็ส่งม้วนภาพให้กับขันทีเพื่อแขวนมัน แล้วอาหว่านก็เดินกลับไป
เสี่ยวถงพูด “วันนี้ให้ครัวเคี่ยวกระดูกแกะ อร่อยที่สุด พี่จะรับสักชามหรือไม่”
“ได้!” อาหว่านพูดอย่างร่าเริง “ฝีมือเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็ไม่รู้จะหยอกล้อผู้ใดแล้ว”
เสี่ยวถงพูด “เหตุใดพี่ต้องหยอกล้อข้าด้วย อย่างไรก็ต้องเป็นท่านอยู่แล้ว”
อาหว่านโบกมือ “ข้าหรือ ไม่ออกเรือนหรอก”
“ทำไมล่ะ” อาหว่านยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
เมื่อน้ำแกงกระดูกแกะมาถึง นางสูดกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม “หอมจริงๆ เจ้าเคี่ยวได้อร่อยมากไม่มีกลิ่นสาบของเนื้อแกะเลย” พูดถึงตรงนี้นางก็เลิกคิ้ว
เสี่ยวถงถาม “มีตรงไหนไม่ดีหรือ”
“เปล่าหรอก” อาหว่านถือตะเกียบพลางครุ่นคิด “เมื่อครู่ตอนข้ากลับมาระหว่างทางข้าไปชนกับบัณฑิตผู้หนึ่งเข้า เมื่อก่อนก็ไม่ได้สังเกตนะ แต่พอมาคิดดูแล้วรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย ”
“แปลกอย่างไรหรือ”
“เขามีกลิ่นตัว ถึงแม้จะบางเบา แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างเหมือนกับ…” ดวงตาของนางจับจ้องไปที่น้ำแกงกระดูกแกะ
เสี่ยวถงมองตามสายตาของนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะเขาเพิ่งไปทานน้ำแกงแกะมาหรือไม่ พูดถึงก็นึกได้ว่าที่สะพานจินหมิงมีร้านที่ปรุงน้ำแกงแกะ ได้รสชาติดีมาก ทั้งนุ่มแ และหอมท่านอ๋องเคยทานครั้งหนึ่งก็จดจำไม่เคยลืมเลย ข้าว่าจะกลับไปทานอีกครั้งเพื่อดูว่าสามารถเคี่ยวให้ได้รสชาตินั้นได้หรือไม่”
พอนางขัดจังหวะความคิดของอาหว่านก็ลอยออกไปนางอดยิ้มไม่ได้
ก็จริง…เนื้อแกะตุ๋นในเมืองหลวงมีชื่อเสียงมาก ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวมาจากต่างเมือง เหตุใดเขาถึงจะไม่ไปทานล่ะ
อย่างไรก็ตามสำเนียงของเขาค่อนข้างแปลก ตอนแรกฟังได้มาตรฐาน แต่การพูดออกเสียง แต่ละคำดูจงใจเน้นไปหน่อย ดูไม่เหมือนคนจากทางเหนือ ภาษาถิ่นนั้นคล้ายกับภาษาราชการมาก ถ้าได้ยิน ก็จะฟังออกคนทางใต้พูดภาษาราชการน้ำเสียงมักจะนุ่มนวลไม่เป็นเช่นนี้
น่าสนใจเขาเป็นคนจากไหนกันแน่นะ
………………
จี้เสียวอู่ที่ถูกหลอกอีกครั้งจากไปอย่างโกรธเคืองในยามรุ่งสาง หมิงเวยตื่นมาไม่เห็นเขา พอถามจี้ฮูหยินถึงได้รู้เลยรู้สึกเสียใจนิดหน่อย
“เมื่อวานทำให้พี่ห้าตกใจกลัวเลยอยากจะสอนเขาเกี่ยวกับการแยกแยะชี่เป็นการชดใช้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะจากไปแล้ว” นางบอกกับตัวฝู
ตัวฝูพูด “ให้บ่าววิ่งไปดูให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยส่ายหน้า “ช่างเถอะ กลับมาครั้งหน้าค่อยว่ากันพวกเราเตรียมยาเพิ่มอีกสองชุด พอท่านป้าส่งของขึ้นเขาค่อยเอาไปด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ”
หลังอาหารเช้าก็มีขันทีมาแจ้งเรื่องงานฉลองวันเกิดของกุ้ยเฟย และเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยง จี้ฮูหยินเตรียมของขวัญขอบคุณ และส่งขันทีกลับ จากนั้นกลับมาถามว่า
“ต้องเตรียมของขวัญวันเกิดด้วยใช่หรือไม่”
หมิงเวยตอบ “เจ้าค่ะ”
“แล้วจะเตรียมอะไรล่ะ” จี้ฮูหยินคิด “ตามธรรมเนียมของพวกเราที่ตงหนิง มักจะส่งพวกโซ่วเมี่ยน เม็ดพุทรา เม็ดบัว ลูกท้อสีทอง แต่พวกเราต้องส่งของขวัญเข้าวัง แบบนั้นก็ดูธรร รมดาเกินไป”
สะใภ้ต่งยิ้ม “ของขวัญไม่ต้องกลัวธรรมดาหรอกเจ้าค่ะ การให้ด้วยใจสำคัญที่สุด ประเด็นคือเหนียงเหนียงโปรดเสี่ยวชีของพวกเรามากให้อะไรท่านก็ดีใจเจ้าค่ะ”
ตามความคิดของหมิงเวยสามารถมอบของขวัญตามปกติได้ แต่หยางชูต้องการความแปลกใหม่
นางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ในวังไม่ควรส่งอาหาร ท่านป้าช่วยหลานหาลูกท้อสีทองได้หรือไม่เจ้าคะ หลานจะคิดอย่างอื่นเพิ่มอีก”
“ได้สิ” จี้ฮูหยินรู้ว่านางมีความคิดดีๆ จึงตอบรับอย่างเต็มใจ
ปีนี้งานวันเกิดเผยกุ้ยเฟยแน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่นางไม่ได้สนใจ หยางชูเองก็ไม่อยากเสียหน้า เช่นนั้นควรให้หน้าเขาสักหน่อยดีกว่า