คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 55 อารมณ์และเหตุผล
เหลยหงเดินเข้าไปในสวนด้านหลังของศาลว่าการ
“ใต้เท้าขอรับ” เจี่ยงเหวินเฟิงกำลังรื้อค้นคดีอยู่
คดีเก่าของตงหนิงเมื่อหลายปีก่อนเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก หลายวันมานี้เขาอาศัยอยู่ที่ศาลว่าการ หากเขายังตื่นอยู่ก็จะเปิดดูคดีต่างๆ พวกนี้ เป็นการตรวจสอบคดีที่เขาต้องทำ เขาขยันเสียจนผู้อื่นไม่รู้จะพูดอันใดดี
ในตอนแรกท่านเจ้าเมืองอู๋กังวลว่าเขาจะยื่นมือเข้ามายุ่งในส่วนงานของท้องถิ่นจึงจับตาดูเขาอยู่นาน แต่พอเห็นว่าเขาทำในส่วนของการสอบสวนคดีที่เขาต้องทำเท่านั้นจึงไม่จับตามองเขาอย่างใกล้ชิดเพียงนั้นแล้ว
เจี่ยงเหวินเฟิงยังไม่วางมือจากม้วนกระดาษ เขาถามออกไป “เจ้าออกไปพบอาสวนมาหรือ มีข่าวอันใดงั้นรึ”
“ขอรับ” เหลยหงถ่ายทอดคำพูดของหยางชูให้เขาฟัง เจี่ยงเหวินเฟิงชะงัก เขาวางเอกสารในมือลง “แม่นางหมิงที่พบกันที่โรงน้ำชาท่านนั้นน่ะหรือ”
“ใช่ขอรับ” เหลยหงพูดเสริมอีกว่า “วันก่อนข้าน้อยไปที่สวนซิ่นก็พบเจอกับนางขอรับ” ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร เจี่ยงเหวินเฟิงก็เข้าใจได้โดยทันที
เขาออกความเห็นออกไป “ตระกูลหมิงมีพิธีศพคงไม่เป็นไรหากเจ้าหน้าที่จะไปที่นั่น แต่ว่าเรื่องที่คุณชายบอกมา…ให้แม่นางตัวเล็กๆ ที่เพิ่งสูญเสียคนในครอบครัวทำเรื่องเช่นนี้ ไม่เป็นการใจร้ายกับนางเกินไปหน่อยหรือ”
เหลยหงตอบว่า “อาสวนบอกว่าคุณชายสงสัยว่าการตายของมารดาของนางมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ นางต้องการร้องทุกข์กับใต้เท้าขอรับ”
หยางชูไม่ได้บอกสถานะพิเศษของหมิงเวย เจี่ยงเหวินเฟิงจึงมองนางเป็นสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งที่เพิ่งพบเจอกัน
เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกคิ้ว “หากเป็นเช่นนั้นข้าเกรงว่านางจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสียแล้ว สตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งที่ยังไม่ทันได้ออกเรือนก็สูญเสียบิดามารดาแล้ว อีกทั้งบรรดาญาติของนางก็สามารถกำหนดอนาคตของนางได้ ท่านแม่ของนางอาศัยอยู่ในเรือนที่อยู่ห่างออกไป หากสาเหตุการตายไม่ปกติ อาจเกี่ยวข้องกับคนตระกูลหมิงก็เป็นได้ หากนางลองบอกญาติฝั่งแม่ของนางอาจได้รับการช่วยเหลือ”
เหลยหงยิ้ม “ใต้เท้ารำพึงฟ้าเวทนาคน[1]อีกแล้ว หากการตายของมารดาคุณหนูเจ็ดมีสาเหตุอื่นจริง นางจะยอมสงบปากสงบคำและจากไปได้อย่างไร เช่นนั้นนางก็คงไม่ใช่คนแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงจิบน้ำชาที่เริ่มเย็นแล้วยิ้ม “เจ้านี่นะ เกลียดความชั่วร้ายประหนึ่งเป็นศัตรูจนแทบอยากจะให้โลกเปลี่ยนจากดำเป็นขาว แยกความดีความชั่วออกจากกันไม่ไหวแล้ว แต่ว่ามันไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก ในการพิจารณาคดีของเจ้าหน้าที่ในหลายปีที่ผ่านมานี้ ส่วนที่ยากที่สุดไม่ใช่คดี แต่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือคดีต่างหาก”
“ในปีที่ข้ามีตำแหน่งเป็นนายอำเภอ เคยรับคดีที่บุตรสาวฟ้องร้องบิดาของตน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด แต่นางก็พยายามเต็มที่เป็นอย่างมาก ตอนนั้นข้ายังเยาว์นัก เป็นผู้ที่แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมเช่นเจ้า และพิพากษากันไปตามตรง ผลคือถึงแม้เด็กสาวผู้นั้นจะชนะคดีความ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นนางก็กระโดดลงแม่น้ำฆ่าตัวตาย”
“ใต้เท้า…”
เจี่ยงเหวินเฟิงยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “ข้าไม่ใช่ไม่อยากร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้นางหรอกนะ แต่ข้าไม่สามารถทำได้ หากข้าไม่ตัดสินคดีออกไปเช่นนั้นนางก็อาจจะรอดใช่หรือไม่”
เหลยหงได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็โกรธ “เหตุผลล้วนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เหตุใดผู้เคราะห์ร้ายต้องได้รับผลร้ายด้วย”
เจี่ยงเหวินเฟิงหัวเราะ “นั่นแหละคือปัญหา!” เขาวาดนิ้วบนขอบถ้วยพลางคิดอย่างเงียบๆ
เหลยหงพยายามคิด แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “ใต้เท้า หากเป็นเช่นนี้ท่านไปที่นั่นสักครั้งดีหรือไม่ขอรับ หากสาเหตุการตายผิดปกติจริง ศพถูกวางไว้นานแล้ว เบาะแสคงเหลือน้อยเต็มที นอกจากนี้หากข้าเป็นนาง แม้ว่าจะมีผลร้ายอะไรก็จะไม่ยอมให้ท่านแม่ของตนตายอย่างไร้ความเป็นธรรมเป็นแน่ เรื่องใหญ่เช่นนี้…ขอให้นางไม่ทำเช่นเรื่องที่ท่านพูดมาก่อนหน้าก็คงจะเป็นการดี”
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน…” เจี่ยงเหวินเฟิงบอก “ข้าจำเป็นต้องไปอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคิดหาวิธีที่จะให้นางพูดออกมาโดยไม่ทำให้แบกรับชื่อเสียงของบรรดาญาติเอาไว้”
…………
ยามดึก
หมิงเฉิงกลับมาจากการส่งแขก และเห็นหมิงเวยคุกเข่าอยู่ตรงที่เดิม
“เสี่ยวชี…”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา “น้องเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักเสียหน่อยเถิด!” เขาบอก
“เดี๋ยวค่อยพักเจ้าค่ะ” วันนี้ทั้งวันนางยังไม่ได้พูดอันใด เสียงของนางจึงฟังดูแหบแห้ง
“ฟังพี่สี่นะ ถ้าน้องทำเช่นนี้ขาของน้องรับไม่ไหวแน่ เฝ้าศพต้องใช้เวลาสามวัน น้องไปพักเถอะ”
หมิงเวยคิดแล้วถามกลับไป “พี่สี่ทานข้าวหรือยังเจ้าคะ”
หมิงเฉิงรู้สึกโล่งใจแล้วตอบไป “ยังเลย เราไปทานพร้อมกันดีหรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้า แล้วสองพี่น้องก็เดินไปยังห้องเล็กที่อยู่ข้างๆ ด้วยกัน
หมิงเฉิงเรียกคนให้ไปนำอาหารมาแล้วสั่งชิวหยู่ “รีบนวดขาให้คุณหนูเจ็ดเร็วเข้า”
ชิวหยู่รับคำแล้วคุกเข่าลงนวดให้หมิงเวยเบาๆ อาหารเย็นถูกยกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงเป็นข้าวต้มกับเครื่องเคียง
หมิงเฉิงคีบผักให้นางพลางพูดว่า “น้องอย่าเศร้าไปเลย ดูแลตนเองให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นท่านป้าสามมองมาจะไม่สบายใจเอาได้”
“ขอบคุณพี่สี่เจ้าค่ะ” แล้วสองพี่น้องก็ทานมื้อเย็นกันอย่างเงียบๆ
หมิงเฉิงมองนางทานไปสองชามถึงจะหยุด เขาก็โล่งใจ “ดีแล้วๆ เฝ้าศพจำเป็นต้องใช้พลัง! ช่วงเย็นน้องอย่าคุกเข่านานๆ เช่นนั้นอีกนะ พี่จะให้อาเซียงมาอยู่เป็นเพื่อนน้อง ธรรมเนียมการแสดงความกตัญญูไม่จำเป็นต้องเข้มงวดมากเพียงนั้น ความกตัญญูขึ้นอยู่กับความจริงใจ การดูแลตัวเองก็สามารถทำให้ผู้ที่เรารักที่มองจากสวรรค์สบายใจได้เช่นกัน”
หมิงเวยตอบรับ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่นางพักผ่อนเพียงพอแล้ว หมิงเฉิงก็ปล่อยให้นางกลับไปเฝ้าศพ
หมิงเวยคุกเข่าอยู่สักพัก จากนั้นงูขาวตัวน้อยก็แอบเข้ามาจากด้านนอก
“นายท่าน พี่สี่ของท่านไปที่สวนอวี๋ฟาง” แววตาของหมิงเวยขยับ นางหันไปพูดว่า “ชิวหยู่ เจ้าไปที่ครัวแล้วต้มชาสมุนไพรมาให้ข้าหน่อย ข้าอยากดื่มอะไรที่ช่วยให้สดชื่นขึ้น”
ชิวหยู่รับคำ พอนางเดินออกไปหมิงเวยจึงถามเสียงเบา “เขาไปที่สวนอวี๋ฟางด้วยเหตุใดกัน”
“ข้าน้อยเห็นเขาเดินวนไปวนมาไม่รู้ว่าหาอันใดอยู่เจ้าค่ะ แต่สุดท้ายเขาก็มองต้นหลิวชั่วร้ายต้นนั้นอยู่นาน”
หมิงเวยเลิกคิ้ว “แต่ดูเหมือนจะหาไม่พบ เขาเดินวนอยู่สักพักก็กลับไปเจ้าค่ะ” งูขาวเอ่ยต่อ “เขาดูเศร้ามาก! อีกนิดก็จะร้องไห้แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้หมิงเซียงก็เข้ามา “พี่เจ็ด…”
หมิงเวยพยักหน้าให้นาง “เฝ้าศพไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก เจ้าไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลาเถอะ”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ” หมิงเซียงเห็นว่าน้ำเสียงของนางเป็นปกติดีก็โล่งใจ “ข้า…ข้าจะคุกเข่าเป็นเพื่อนท่านเอง”
หมิงเวยตอบ “ทำเช่นนี้มันเหนื่อยมากนะ”
“พี่เจ็ดวางใจเถอะเจ้าค่ะ! ข้าคุกเข่าจนชินแล้ว!” หมิงเซียงตบอกตนเอง “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
แล้วนางก็แอบเอาแผ่นสำลีออกมาสองอันกระซิบบอกว่า “เมื่อก่อนข้าก็ทำเช่นนี้ ท่านพ่อทำโทษข้าข้าก็แอบใส่เอาไว้มันมีประโยชน์มากเจ้าค่ะ”
หมิงเวยรู้สึกอบอุ่นในใจ “ขอบใจเจ้ามากนะ”
…………
ในเวลาเดียวกันนายท่านสองก็ได้รับข่าวหนึ่งมา
“เจี่ยงเหวินเฟิงแจ้งว่าจะมาหาในวันรุ่งขึ้นเพื่อมาร่วมไว้อาลัยจึงส่งคนมาแจ้ง” เขาพูดกับผู้ที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ในเงามืด “เจี่ยงเหวินเฟิงงั้นหรือ เขาไม่ได้มาตงหนิงเพื่อจัดการกับคดีหรอกรึ ยกเว้นวันแรกที่มีงานเลี้ยงต้องรับแขกจากแดนไกล นอกเหนือจากนั้นผู้ใดมาเชิญเขาก็ไม่ตอบรับ”
“ใช่ ข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาจะมา” นายท่านสองขมวดคิ้วแน่น “เขามีชื่อเสียงในเรื่องความยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ตัดสินคดีอย่างเฉียบขาดและแม่นยำ ไม่รู้ว่าไปได้ยินเสียงลมอะไรมาถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้”
พอเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอันใดต่อ นายท่านสองก็ยิ่งกังวล
เขาพูดอีกครั้ง “หากเขาดูออกว่าสาเหตุการตายนี้มีความผิดปกติ เราจะทำอย่างไรดี หากเขายื่นมือมาตรวจสอบคดี เขาต้องใช้โอกาสนี้หาทุกซอกทุกมุม พลิกแผ่นดินหาในเรือนตระกูลหมิงเป็นแน่แล้วถ้าหากเขาค้นพบสิ่งที่ไม่ควรพบล่ะก็จวิ้นอ๋องคง…”
“เจ้าอย่าตกใจไปเอง” ชายผู้นั้นพูดขัดจังหวะเขา “เขาจะมีเหตุผลอันใดมาขอดูศพกัน หากไม่เห็นศพต่อให้มีความสามารถเพียงใดก็ไม่มีทางดูออกหรอก”
นายท่านสองคิดแล้วอยู่ๆ ก็ตกใจ “แล้วถ้าหากเสี่ยวชีร้องทุกข์ขึ้นมาล่ะ…นางดูผิดปกติอยู่ตลอดเวลาถึงจะดูเศร้ามากแต่กลับไม่ร้องไห้หรือโวยวายอันใดเลย ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะมีเรื่องเกิดขึ้น”
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป” เขาตอบเสียงเบา “เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรเสี่ยวชีก็เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง อีกทั้งเป็นสตรี พวกเราเป็นผู้ปกครองของนาง หากเราคัดค้านเขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะทำอะไรโดยพลการได้”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็หัวเราะเยาะอย่างรู้สึกไม่พอใจ “ถึงอย่างไรท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ต่อให้เป็นชิงเทียนก็ตาม เหตุใดเขาจะต้องให้ความสนใจเพียงนั้นกันล่ะ”
……………………………………………….
[1] รำพึงฟ้าเวทนาคน : พร่ำบ่นว่าพวกชนชั้นปกครอง โมโหที่คนทั่วไปต้องลำบากเพราะการปกครองที่ล้มเหลว