คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 550 ให้รางวัล
แววตาของฮ่องเต้อ่อนลงเขามองไปทางฮุ่ยเฟย “หลานสาวของเจ้าช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ ของขวัญที่เจิ้นเห็นในวันนี้ของนางโดดเด่นที่สุด”
ฮุ่ยเฟยตอบ “ทำให้ฝ่าบาท และกุ้ยเฟยยิ้มได้ไม่เสียแรงที่เด็กคนนี้คิดมาหลายวันเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม และถามว่า “เพียงแต่เจิ้นไม่เข้าใจความลึกลับนี้ ภาพปักมวลดอกไม้นี้ดึงดูดผีเสื้ออย่างไรหรือ”
ฮุ่ยเฟยยิ้ม “เจ้าบอกไปสิซิ่วอี๋”
เวินซิ่วอี๋ก้มศีรษะ และพูดว่า “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ดูเหมือนน่าอัศจรรย์ใจก็จริง แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างง่ายเพคะ ผีเสื้อนี้ถูกเลี้ยงในเรือนกระจก เมื่อวานท่านป้าสั่งให้ย้ายกลับมาจากเรือนกระจก ส่วนด้ายนั้นถูกนวดด้วยเกสรดอกไม้มาก่อนทันทีที่เปิดภาพวาด ผีเสื้อก็บินตามกลิ่นของมันมาเพคะ”
“อย่างนี้นี่เอง! ทั้งน่าทึ่ง และเรียบง่าย แต่เจ้าสามารถคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้นับว่าเฉลียวฉลาด เจ้ามีความตั้งใจอย่างมาก เจิ้นขอบคุณเจ้าแทนกุ้ยเฟยด้วย เจ้ามีความปรารถนาอะไรหรือไม่”
นี่เป็นการประทานรางวัล!
ฮุ่ยเฟยดีใจมากนางกำลังจะตอบ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างคาดไม่ถึงว่า “ฝ่าบาท ของขวัญชิ้นนี้ถึงแม้จะน่าสนใจ แต่ก็ดูด้อยไปหน่อย ท่านบอกว่าของขวัญจากนางยอดเยี่ยมที่สุด กระหม่อมไม่ยอมนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันมอง และเห็นว่าเป็นหยางชู
เขาอดพูดไม่ได้ว่า “เจ้าเด็กคนนี้บอกว่าของนางไม่ดี เช่นนั้นก็เอาของขวัญที่โดดเด่นกว่าออกมาสิ!”
อันอ๋องเองก็ร่วมสนุกด้วย “ก็จริง ปะการังขนาดใหญ่ของเจ้า จะว่างดงามก็งดงามอยู่ แต่มันก็ยังห่างไกลจากความน่าสนใจนัก”
หยางชูพูด “ของข้าไม่ แต่ข้ารู้ว่ามีคนเตรียมไว้แล้ว!”
“อ้อ” ฮ่องเต้มองตามสายตาของเขา และเห็นหมิงเวยที่อยู่ข้างกายโป๋วหลิงโหวฮูหยิน
เขายิ้ม “อย่างนี้นี่เอง ได้ หากคุณหนูหมิงเตรียมของขวัญที่ดีกว่า เช่นนั้นเจิ้นจะให้รางวัลแก่นาง ว่าอย่างไร”
หยางชูยิ้มอย่างยินดี “ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ คำพูดของโอรสสวรรค์ ตรัสอย่างไรต้องว่าตามนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอน”
หมิงเวยที่ถูกเขาพูดถึงจะทำอย่างไรได้ จำต้องเดินออกมาทำความเคารพฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “ของขวัญของคุณหนูเวินนั้นช่างแยบยลนักเพคะ หม่อมฉันเทียบไม่ได้จริงๆ ทั้งด้านทักษะการปัก และความเฉลียวฉลาดของนาง เพียงแต่คุณหนูเวินมีคำพูดหนึ่งที่หม่อมฉันไม่เห็นด้วย”
เวินซิ่วอี๋กะพริบตานางพูดเสียงเบา “ไม่ทราบว่าซิ่วอี๋ทำไม่ดีตรงไหนหรือ เชิญคุณหนูหมิงชี้แนะได้เลย”
“ไม่กล้าใช้คำว่าชี้แนะหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อครู่คุณหนูเวินพูดว่าหิมะสูญเสียสีสันซึ่งข้ามีความคิดเห็นที่ต่างออกไป”
เวินซิ่วอี๋มีสีหน้างงงวย ประโยคนี้มีปัญหาตรงไหนกัน ถึงหิมะจะงดงาม แต่ก็น่าเบื่อเกินไป หรือว่านางทำให้หิมะมีสีสันขึ้นมาได้
หมิงเวยพูดกับฮ่องเต้อีกครั้งว่า “ฝ่าบาทเองก็ทราบดีว่าหม่อมฉันไม่มีทักษะอื่นใด เพียงแต่หม่อมฉันศึกษาเคล็ดวิชาไม่กี่วันจึงสามารถใช้เคล็ดวิชาเล็กๆ ได้ประมาณหนึ่ง อาจต้องใช้ของบางอย่างโปรดฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อนุญาต”
หมิงเวยกล่าวขอบคุณแล้วโบกมือเรียกคนข้างกายเขา ว่านต้าเป่าตกใจเขาชี้ที่ตนเอง หมิงเวยพยักหน้าตอบกลับ
ว่านต้าเป่าเดินเข้าไปหา “คุณหนูหมิงมีอะไรรับสั่งหรือขอรับ”
เขาคิดในใจ คุณหนูหมิงผู้นี้กล้าหาญจริงๆ ตนเป็นขันทีใกล้ชิดของฝ่าบาท ผู้อื่นจะกล้าสั่งการได้อย่างไร แต่นางกลับไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
หมิงเวยโน้มตัวเข้าไปหาพูดกระซิบข้างหูเขาสองสามคำจากนั้นก็มอบยันต์กองหนึ่งให้เขา และสุดท้ายก็ถามว่า “กงกงได้ยินชัดเจนหรือไม่”
ว่านต้าเป่าพยักหน้าเขาหันไปมองฮ่องเต้เมื่อได้รับอนุญาตจึงโค้งคำนับ
“กระหม่อมจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ไม่นานนักว่านต้าเป่าก็กลับมา
“คุณหนูหมิง พร้อมแล้วขอรับ”
หมิงเวยพยักหน้า “เช่นนั้นก็เริ่มเลย”
“ขอรับ” ว่านต้าเป่าออกคำสั่ง ขันทีน้อยรีบกระจายคำสั่ง จากนั้นทุกคนได้ยินเสียงระเบิด และมองออกไปตามเสียงนั้น พลุพุ่งขึ้นไปในอากาศแล้วระเบิดออก มันหยุดไปสักพักแล้วหิมะก็ตกลงมา
นั่นคืออะไรกัน…สายตาของพวกเขาหันไปมองหมิงเวย จุดดอกไม้ไฟมีอะไรแปลกใหม่กันจะทำให้หิมะมีสีสันได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนั้นจู่ๆ ก็มีดอกไม้ไฟอีกดอกพุ่งขึ้นไปในอากาศ มีคนสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงแล้วร้องขึ้นว่า “ดูนั่น! หิมะพวกนั้น!”
ในอากาศหิมะที่พลิ้วปลิวไสวในสายลมราวกับถูกดอกไม้ไฟฉุดกระชากให้ลอยไปตามลม
หนึ่ง สอง สาม…เมื่อดอกไม้ไฟดับลงเกล็ดหิมะก็หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ดอกไม้ไฟอีกลูกพุ่งขึ้นไปในอากาศ และในที่สุดพวกเขาก็เห็นว่าเกล็ดหิมะเหล่านั้นผลิบานพร้อมกับดอกไม้ไฟกลายเป็นดอกไม้ ดอกไม้ไฟส่องลงบนเม็ดหิมะ สะท้อนแสงหลากสี ท้องฟ้าที่มืดมิดก็สว่างขึ้นดูมีสีสันขึ้นทันตา เป็นภาพที่ทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง
“งดงามมาก” อันอ๋องเฟยอุทาน “ที่แท้หิมะก็มีสีสันมากมายเช่นนี้นี่เอง”
ดอกไม้ไฟยังคงจุดต่อไป เกล็ดหิมะม้วนตัวขึ้นอีกครั้งก่อตัวเป็นรูปร่างใหม่
ใจเป็นสุขดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง นกสาลิกาเคียงดอกเหมย นกกระเรียนบนผืนหญ้า…ภาพอันเป็นมงคลค่อยๆ เผยออกมาให้เห็น
ดอกไม้ไฟสุดท้ายเป็นภาพของภูเขา และลำน้ำ เกล็ดหิมะที่พลิ้วไหวเหล่านั้นก็รวมตัวเป็นภูเขา และแม่น้ำ เมื่อดอกไม้ไฟดับลงแสงหลากสีค่อยๆ จางหายไป สิ่งที่ทุกคนเห็นคือภาพวาดของเขาเชียนซานที่ย้อมด้วยหิมะ
ในตอนนั้นเองหมิงเวยพูดว่า “หม่อมฉันขอยืมดอกไม้ไฟในวัง และใช้ภาพเขาเชียนซานท่ามกลางหิมะเพื่อฉลองวันประสูติของเหนียงเหนียงเพคะ”
สีหน้าของเผยกุ้ยเฟยเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมนางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว นี่เรียกว่าเคล็ดวิชาเล็กน้อยอะไรกัน เปิ่นกงไม่เคยรู้เลยว่าหิมะจะมีสีสันเช่นนี้ได้”
หมิงเวยตอบด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันแค่พยายามทำให้หิมะแข็งชั่วคราว ว่ากันตามตรงเรื่องนี้ไม่มีค่าอะไรที่จะพูดถึงเพคะ ผู้ที่มีทักษะสูงที่แท้จริงคือช่างฝีมือที่ทำดอกไม้ไฟเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยหันไปทางฮ่องเต้ “ฝ่าบาทว่าอย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้พูด “แม้จะเป็นทักษะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็แสดงออกถึงความตั้งใจ เจิ้นพูดคำไหนคำนั้น คุณหนูหมิงเจ้าต้องการสิ่งใดหรือไม่ วันนี้เจิ้นจะมอบให้แก่เจ้า”
หมิงเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกกังวลเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงถามหม่อมฉันเช่นนี้ หากพูดถึงความปรารถนา…แค่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า ทุกคนสุขภาพแข็งแรงดี น้ำพระทัยของฝ่าบาทหม่อมฉันได้รับแล้วไม่ต้องการสิ่งใดแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “เจ้าทำให้เจิ้นลำบากแล้วไม่ต้องการสิ่งใดเป็นการยากที่จะทำให้พอใจเจิ้นไม่รู้ว่าจะให้รางวัลอะไรเจ้าดี”
หยางชูพูดแทรกขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพิ่มสินเดิมให้นางดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้! เจ้ารอเวลานี้อยู่ใช่หรือไม่ ท่านราชครูบอกให้เจ้าแต่งงานได้แล้วหรือ”
“เอ่อ…”
ฮ่องเต้พูด “หากว่างนักก็ไปเดินเล่นรอบๆ เสวียนตูกวันสักหน่อย รอให้โชคชะตาของเจ้าได้รับการแก้ไขแล้วมันจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ”
หยางชูก้มศีรษะลง และพูดว่า “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันไปทางเวินซิ่วอี๋ “คุณหนูเวิน เจ้าช่างเฉลียวฉลาดนัก ในเมื่อเจิ้นพูดออกไปแล้ว แน่นอนว่าต้องให้รางวัลเจ้า เจ้าปรารถนาอะไรพูดออกมาได้เลย”
เวินซิ่วอี๋รู้สึกตกใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉัน…”
“พูดมาเถอะ!” เผยกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม
เวินซิ่วอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจคุกเข่าลง “หม่อมฉันมีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องกังวลจึงอยากทูลขอร้องฝ่าบาท ช่วงนี้ท่านอาสุขภาพไม่แข็งแรงหม่อมฉันทราบดีว่านางคิดถึง และเป็นห่วงคนผู้หนึ่งจนไม่อาจวางใจได้ ขอฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเถอะเพคะ!”
นางยังไม่ได้พูดออกมา แต่หลายคนต่างทราบดี รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ค่อยๆ หายไป และเขากล่าวว่า “โอ้ ว่ามาสิ”
เวินซิ่วอี๋คุกเข่าลงอ้อนวอน “โปรดฝ่าบาททรงอนุญาตให้ท่านอาได้พบท่านพี่ด้วยเถอะเพคะ!”
……………