คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 551 ต้นเหมย
ทุกคนในที่นี้ตกอยูู่ในความเงียบ…
ทุกคนอดชื่นชมความกล้าหาญของเวินซิ่วอี๋ไม่ได้ ผ่านไปสามเดือนแล้ว ความโกรธของฮ่องเต้ก็ยังไม่ลดลงเลย
ยิ่งกว่านั้นนี่คืองานเลี้ยงวันเกิดของเผยกุ้ยเฟย การพูดเรื่องนี้ขึ้นในงานเช่นนี้จะไม่เป็นการทำลายบรรยากาศงานหรอกหรือ อีกอย่างรอยยิ้มของฮ่องเต้ก็หายไปแล้ว
เผยกุ้ยเฟยเห็นเช่นนั้นก็รีบยิ้มออกมา “คุณหนูเวิน เรื่องนี้ฮุ่ยเฟยสามารถบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาทได้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าขอร้องหรอก ฝ่าบาทบอกจะประทานรางวัลให้คือประทานรางวัลให ห้ตัวเจ้าเอง เจ้าลองนึกดูอีกทีเถิด”
เวินซิ่วอี๋กัดริมฝีปากของนาง และพูดอย่างเชื่องช้า “หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใดเพคะ…”
เผยกุ้ยเฟยหันศีรษะไปอีกทาง และพูดติดตลกกับฮ่องเต้ “ราวกับพวกนางสองคนพูดคุยกันมาก่อนเลย โอกาสดีๆ เช่นนี้ทั้งสองคนไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด”
ฮ่องเต้ยิ้ม “ช่างเถอะ เช่นนั้นก็ให้รางวัลเหมือนกัน สนมรักเพิ่มสินเดิมให้ทั้งสองคนแล้วกัน”
“เพคะ” แล้วเรื่องนี้ก็จบไป
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลง ฮุ่ยเฟยกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง โบกมือให้นางในทั้งหมดออกไปจนเหลือเพียงเวินซิ่วอี๋เท่านั้น
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดได้ยินฮุ่ยเฟยก็พูดขึ้นว่า “เปิ่นกงบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้าเรียนวาดภาพกับกุ้ยเฟยเหตุใดถึงเปลี่ยนใจ”
ท่าทีอ่อนแอเขินอายของเวินซิ่วอี๋ก่อนหน้านี้เปลี่ยนไป นางปลดต่างหูพลางพูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ความคิดของท่านช้าเกินไป กุ้ยเฟยเป็นคนเช่นไรท่านรู้ดีกว่าข้า หากบอกว่าอยากเรีย ยนวาดภาพกับนาง นางจะตอบรับหรือแล้วต้องเรียนไปอีกนานเพียงใด นี่มันใช้เวลานานเกินไปแล้ว”
ฮุ่ยเฟยพูดอย่างโกรธเคือง “แล้วความคิดของเจ้าดีมากหรือ ตอนนี้จบไปแล้ว โอกาสเช่นนั้นก็สูญเปล่าไปโดยเปล่าประโยชน์ ฝ่าบาทเป็นคนเช่นไรข้ารู้ดีกว่าเจ้า! วันนี้เป็นงานมงคลเจ้าสาดน น้ำเย็นไปเช่นนี้เขาจะอารมณ์ดีหรืออย่างไร ตรงกันข้ามเขาอาจไประบายความโกรธกับบุตรชายข้า! ตอนนี้จบแล้วเจ้าทำให้เรื่องไม่เป็นมงคลไปแล้วแม้แต่ข้าก็อ้าปากพูดไม่ได้!”
เวินซิ่วอี๋มองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย “แล้วท่านจะทำอย่างไรจะไล่ข้าออกจากวังหรือ”
ฮุ่ยเฟยอยากจะขับไล่นางออกจากวังจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงองค์ชายรองที่ถูกขังอยู่ในจวนอ๋องนางก็อดทนไว้ ไม่ได้…ตอนนี้จะทำให้นางขุ่นเคืองไม่ได้ไม่อย่างนั้นตัวฮุ่ยเฟยเองจะต้อง โดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือ
ฮุ่ยเฟยอดทน และพูดกับนางว่า “ซิ่วอี๋ การเปลี่ยนพระทัยฝ่าบาทต้องเริ่มด้วยการเข้าหากุ้ยเฟยเท่านั้น ถึงแม้จะช้า แต่ก็มีประสิทธิภาพ นั่นเป็นบุตรชายของเปิ่นกง เปิ่นกงจะไม่ใจร้อ อนได้อย่างไร แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะรีบเร่ง ในวังแห่งนี้ ต้องอดทนเท่านั้นถึงจะผ่านไปได้
เหล่าคนที่อยู่ในจวนจ้าวอ๋องแต่แรก ฝ่าบาทไม่ได้โปรดเปิ่นกงมากที่สุดเสมอไป แต่เหตุใดตอนนี้เปิ่นกงแก่ชราไปตามวัย แต่ยังสามารถอยู่ในวังหลังได้เล่า ฝ่าบาทของพวกเราหากบอก กรักก็คือรัก ไร้ความปรานีก็คือไร้ความปรานี เราต้องเข้าใจจุดนั้นเจ้าเข้าใจหรือไม่”
เวินซิ่วอี๋กลับใจร้อน “นั่นคือท่าน ฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียงอย่านำวิธีการของวังหลังพวกท่านมาให้ข้า ข้าไม่เหมือนกับพวกท่าน!”
ฮุ่ยเฟยทั้งโกรธทั้งกังวล “แต่ที่นี่คือวังหลัง! และเจ้าก็อยู่ที่นี่!” นางพูดเสียงอ่อน “ซิ่วอี๋ เพื่อบุตรชายของข้าเจ้าอดทนสักหน่อยได้หรือไม่ หากทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วอีกครั้ง ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
เวินซิ่วอี๋ขมวดคิ้วอดทนอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พูดว่า “ได้! ฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียง เห็นแก่ท่านอ๋อง ข้าจะทนหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!” พูดจบนางก็เดินออกจากห้องไปโด ดยไม่หันหน้ามาอีก ฮุ่ยเฟยมองตามแผ่นหลังของนาง และทรุดตัวลงทันที
……………
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงท้องฟ้าก็มืดเสียแล้วหิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หมิงเวยขึ้นรถม้า แต่ยังไม่ทันขับออกไปก็มีคนกระโดดขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านขึ้นมาอย่างอุ กอาจเช่นนี้จะดูไม่ดีเอานะเจ้าคะ”
หยางชูยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าหลบมาไม่มีผู้ใดเห็นหรอก”
หมิงเวยกระตุกมุมปากขี้เกียจเกินกว่าจะพูดกับเขา พอรถม้าเคลื่อนที่หมิงเวยก็พูดขึ้นว่า “เวินซิ่วอี๋ผู้นั้นเป็นผู้ใดกันเจ้าคะ”
หยางชูโน้มตัวเข้ามากุมเตาอุ่นมือด้วยกันกับนางแล้วตอบว่า “ชาติกำเนิดของฮุ่ยเฟยไม่สูงนัก ตระกูลเดิมของนางประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง เพราะไม่ค่อยได้เข้าวังนักข้า าเลยไม่เคยพบนาง”
เขาเหลือบมองนางแล้วถามว่า “ทำไมหรือ ท่านสงสัยนางหรือ”
“ก็ไม่ค่อยถูกคอนักเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “เสี่ยวไป๋ได้กลิ่นแปลกๆ จากนาง คิดว่านางคงเป็นเสวียนชื่อด้วย”
หยางชูเลิกคิ้ว “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ตระกูลเวินไม่ทำตัวเป็นที่สนใจแม้แต่บุตรสาวจากตระกูลนี้ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกี่คน”
“เช่นนั้นก็จับตาดูให้มากขึ้นดีกว่าเจ้าค่ะ เหนียงเหนียงอยู่ในวังพวกเราต้องระวังตัวหน่อย”
“ท่านวางใจเถอะ เสวียนตูกวันคอยปกป้องพระราชวังอยู่เสมอกลับไปข้าจะคิดหาวิธีส่งข้อความเข้าไปบอกกับท่านน้าให้นางระวังตัว”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นหมิงเวยก็รู้สึกว่าเส้นทางไม่ถูกต้องนางจึงเปิดม่านขึ้นเพื่อมองดู “ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
หยางชูยิ้มอย่างมีเลศนัย “พาท่านไปที่ที่หนึ่ง”
“แต่ดึกเช่นนี้…”
“วางใจเถอะ” เขาตอบทันทีว่า “ข้าให้คนไปส่งข้อความที่ตระกูลจี้แล้วบอกว่าเหนียงเหนียงต้องการให้ท่านอยู่ค้างด้วยสักคืน”
“…” เขาไตร่ตรองมานานแล้ว! หมิงเวยไม่พูดอะไร และปล่อยให้รถม้าขับออกจากเมือง ไม่นานเสียงข้างนอกก็หายไปรถม้าก็หยุดลง
“มาสิ” หยางชูกระโดดลงจากรถม้า และเอื้อมมือไปประคองนาง หมิงเวยลงจากรถม้าพอนางเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกตะลึง
หยางชูยิ้มแย้ม “สวยหรือไม่”
เบื้องหน้าเป็นต้นเหมยมีตะเกียงเล็กๆ แขวนอยู่บนต้นไม้ ส่องสว่างในตอนกลางคืน หิมะสีขาวตกลงบนกิ่งเหมยทีละน้อย เมื่อสีขาว และสีแดงบรรจบกันเป็นความงดงามที่หาที่เปรียบมิได้
หมิงเวยถอนหายใจ “หากท่านมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญก็จะไม่มีอะไรสำเร็จนะเจ้าคะ”
หยางชูมีสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ไม่สำคัญหรือ การทำให้ท่านมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”
“….”
หยางชูมองนางเห็นคิ้วของนางกระตุกก็ถามทันทีว่า “ยิ้มอยู่ใช่หรือไม่ ท่านมีความสุขหรือไม่เล่า” หมิงเวยอยากทำหน้านิ่ง แต่ก็ทนไม่ไหว
“หิมะจะตกอีกสองสามวันหากตกสะสมมากเกินไปจะดูไม่สวยดังนั้นจึงต้องมาในเวลานี้” หยางชูพูดเรื่อยเปื่อย “น่าเสียดายที่ป่าไม่ใหญ่นักจึงทำได้เพียงเลือกพื้นที่ และมองเห็นได้เพียงส่วนน นี้เท่านั้น…”
จู่ๆ หมิงเวยก็ถามเขา “ท่านดูตั้งใจถึงเพียงนี้มีแผนอะไรอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“เอ่อ…”
หมิงเวยพูดต่อว่า “ข้าจะบอกท่านแล้วว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ว่าตอบรับแล้วจะทำได้ มันต้องดูผลที่ตามมาต่อให้ท่านทำมากเพียงใดข้าก็ไม่สามารถตอบรับท่านในตอนนี้ได้เจ้าค่ะ”
หยางชูก้มศีรษะลง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเสียงกระซิบว่า “ข้าไม่บังคับท่าน เพียงแค่ต้องการให้ท่านมีความสุขมากขึ้น และพยายามสร้างความประทับใจให้ท่าน หากทำเช่นนี้ยามเมื่อท่ านตัดสินใจคงเอนเอียงมาหาข้ามากขึ้น…”
เห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วแววตาของหมิงเวยก็อ่อนลง
“ข้าทำให้ท่านรู้สึกปลอดภัยน้อยเกินไปหรือไม่ ท่านถึงอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้”
หยางชูพยักหน้า “ข้ามักจะรู้สึกว่าข้าไม่สามารถรั้งท่านไว้ได้ ท่านเปรียบเสมือนเกล็ดหิมะที่ตกลงมา บัดนี้ชัดเจนในฝ่ามือของข้า แต่ก็ไม่แน่ว่ามันจะสลายหายไปในตอนไหน และหาไม ม่พบอีกเลย”
หมิงเวยเงียบไม่พูดอะไร นางจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไรกัน ความไม่มั่นคงของเขาไม่ได้มาจากนางเท่านั้น แต่ยังมาจากมุมมองของความเป็นจริงด้วย
วิญญาณเร่ร่อนที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้จะอยู่ที่นี่ตลอดไปได้จริงหรือ